ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวิธีแก้ไขปัญหา แนว Holistic ecology
เย็นจิตร ถิ่นขาม[1]
แนวทางการมองปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีหลายแนวทางการมอง เช่น นิเวศสังคมนิยม ที่แบ่งเป็น Eco-Marxism และ Eco-anarchism ซึ่ง Eco-Marxism คือแนวคิดการใช้มุมมองแนวมาร์กซิสม์มาเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ปัญหาสภาพแวดล้อมว่าเกิดจากปัญหาทางสังคมที่จัดสำดับชั้นสูงต่ำ (hierarchy) มีการกดขี่ทางชนชั้นในระบบทุนนิยม การรวมศูนย์อำนาจ การครอบงำ จนเกิดสังคมชายขอบที่ถูกครอบงำโดยรัฐซึ่งเป็นตัวแทนและผู้ปกป้องนายทุน หนทางในการแก้ปัญหาคือ ต้องกำจัดความเลื่อมล้ำทางชนชั้นและความเป็นชายขอบ แล้วสร้างสังคมธรรมชาติแบบ Anarchist-Communist ขึ้น ส่วน Eco-anarchism เป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากนักทฤษฎีอนาธิปัตย์ คือ Peter Kropotkin และวิเคราะห์ปัญหาสภาพแวดล้อมว่าเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในสังคม การทำลายสภาพแวดล้อมเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจ กลุ่มนี้มักต่อต้านรัฐและเห็นว่าต้องสร้างขบวนการเคลื่อนไหวแบบใหม่ที่มีส่วนร่วม เน้นชุมชนอิสระ การกระจายอำนาจปกครองผ่านประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและการดำรงอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติและเชื่อว่า สภาพแวดล้อมและธรรมชาติจะสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เมื่อมีความเป็นธรรมทางสังคม
แนวทางการมองแบบ นิเวศวิทยาการเมือง (Political Ecology) ที่มองประเด็นปัญหาสภาพแวดล้อมว่าไม่ได้เกิดจากปัญหาระบบนิเวศพังทลาย แต่เกิดจากโครงสร้างทางการเมือง ความไม่เป็นธรรม และความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ก่อให้เกิดปัญหาแย่งชิงทรัพยากรและนำไปสู่การทำลายธรรมชาติและสภาพแวดล้อมในที่สุด กลุ่มนี้ได้นำ “มิติทางการเมือง” มาเป็นจุดวิเคราะห์ปัญหา และผสมผสานกับการเคลื่อนไหวทางด้านสภาพแวดล้อม ให้มีการปฏิบัติการทางการเมืองและจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ในระยะยาวกลุ่มนี้ต้องการเห็นระบบสังคมใหม่ เน้นคุณภาพชีวิต มีสถาบันการเมืองแบบใหม่ที่มีประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังมีแนวทางการมองแบบนิเวศวิทยาเชิงวิพากษ์ แนวคิดการสร้างทางสังคม แนวคิดประชากร เป็นต้น ซึ่งแนวทางที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำความเข้าใจปัญหาทรัพยากรได้อย่างดี คือ แนวคิดนิเวศวิทยาเชิงระบบ เนื่องจากแนวคิดการมองแบบเชิงระบบนั้นทำให้เข้าใจสภาพปัญหาแบบเป็นองค์รวมและรอบด้าน แนวคิดที่มองแบบแยกส่วนอย่างระจัดกระจาย (รวมทั้งเน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะแบบโดดเดี่ยว) ไม่อาจทำให้เราสามารถเข้าใจระบบความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนได้ ในความเป็นจริงแล้วธรรมชาติ คือ ระบบที่มีปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆ ดำรงอยู่อย่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนั้นเราจึงต้องมอง “กายภาพทั้งหมดของโลกธรรมชาติ” เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิเวศวิทยาของมนุษย์ (Holistic ecology) ทั้งนี้แนวคิดนิเวศวิทยาเชิงระบบ มีรายละเอียด ดังนี้
Holistic ecology สนใจเกี่ยวกับเรื่องการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมหรือระหว่างสังคมกับธรรมชาติ มองจากแง่ทฤษฎีสังคม มนุษย์ในที่นี้เป็นมนุษย์ในแบบจำลองของอริสโตเติล นั่นคือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล และยังเป็นสัตว์สังคมอีกด้วย ท่ามกลางกระบวนการทางเศรษฐกิจเทคนิค และวัฒนธรรม มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์กันแบบตึงเครียดตลอดเวลา ด้านหนึ่ง มนุษย์ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต แต่อีกด้านหนึ่งมนุษย์ได้ทำลายล้างสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งเกิดความเสื่อมโทรมอย่างหนัก การพังทะลายของระบบที่สนับสนุนการดำรงชีวิตเริ่มปรากฎเป็นความจริงมากขึ้นทุกที เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงจำเป็นต้องมองภาพทั้งหมดของมนุษย์กับธรรมชาติ
Holistic ecology มีข้อสรุปที่สำคัญ คือ วิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมของสังคมไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยตัวเดียว หากแต่เป็นผลผลิตร่วมกันของระบบความสัมพันธ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับประชากรทรัพยากร เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และการเมือง สาเหตุสำคัญของวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมมีดังนี้
นี่เป็นเพียงปัจจัยบางประการเท่านั้นที่มีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญ คือ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างระบบใหญ่ของสังคมมนุษย์ ดังนั้นการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาทางสิ่งแวดล้อม จึงต้องมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งระหว่างสังคมกับธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้น มีจิตสำนึกทางนิเวศแบบมหภาคและเริ่มมองเห็นความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งพร้อมที่จะเข้าร่วมเคลื่อนไหวในระดับชาติได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวิธีแก้ไขปัญหา แนว Holistic ecology
บุคคลที่มีโลกทรรศน์ใหม่ที่เชื่อว่าปัญญาที่เน้นการมองอย่างเป็นระบบ (holistic wisdom) มีความสำคัญกว่า “ข้อมูลข่าวสาร” ซึ่งเป็นกุญแจนำไปสู่ความยั่งยืนยาวนาน (sustainability) ทั้งนี้การมองด้วย holistic ecology มีลักษณะคือ
1.การมองโลกธรรมชาติเป็นองค์รวม : มิได้มองอย่างแยกส่วน แต่แป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย เป็นเอกภาพของความสัมพันธ์ในทุกกลุ่มบนโลก
2. จุดศูนย์กลางอยู่ที่โลก : เพราะมองส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย จุดศูนย์กลางของคุณค่าไม่ได้อยู่ที่มนุษย์ อยู่ที่ความสมดุลของโลก
3. คุณค่าของส่วนประกอบย่อยในโลกเป็นคุณค่าตามบทบาทและมีคุณค่าเบื้องต้นเท่าเทียมกัน เพราะส่วนประกอบย่อยทุกกลุ่มมีความจำเป็นต่อความสมดุลของโลก
4. ความเป็น “ตัวตน” ของปัจเจกที่แยกออกจากสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิงเริ่มเลือนลาง เพราะในมุมมององค์รวมของนิเวศวิทยา ปัจเจกมีอยู่ในความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น
5. มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกธรรมชาติ ไม่ได้ถูกแยกออกมาด้วยลักษณะพิเศษที่มนุษย์มี
6. มิติของความสัมพันธ์ทางศีลธรรม จากมุมมองของโลกชีวะที่เป็นจุดศูนย์กลางของคุณค่าทั้งหลาย ความสัมพันธ์ทางศีลธรรมมิได้ถูกจำกัดอยู่เพียงมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกธรรมชาติ
holistic ecology มีข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อม นั่นคือ ต้องเริ่มจากตัวมนุษย์เอง ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา โลกอุตสาหกรรมตะวันตกได้ส่งเสริมให้ประชาชนของตนดำเนินวิถีชีวิตที่เน้นการบริโภควัตถุจำนวนมากตามแบบฉบับของสังคมอเมริกัน (American way of life) ซึ่งบัดนี้ได้แพร่ระบาดมาถึงสังคมไทยแล้ว วิถีชีวิตนี้ย่อมนำไปสู่การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วง มองจากแง่นี้แล้วการเปลี่ยนแปลงวีชีวิตอย่างถอนรากถอนโคนเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
แต่วิถีชีวิตเป็นเรื่องของค่านิยมทางสังคมซึ่งมีสายโยงใยไปถึงเรื่องจริยธรรม วัฒนธรรม และการบงการของระบบเศรษฐกิจการเมืองด้วย เกี่ยวกับเรื่องนี้เราคงจะต้องมีการอภิปรายถึง 2 เรื่อง คือ 1. ความขัดแย้งกับธรรมชาติ : การดำเนินวิถีชีวิตแบบตะวันตกต่อไปเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับธรรมชาติอย่างแน่นอน เพราะความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถ้าไม่ต้องการมีความขัดแย้งนี้ก็คงต้องมีการพัฒนาทัศนคติแบบใหม่ต่อธรรมชาติ (จริยธรรมทางนิเวศ) 2. ความขัดแย้งกับค่านิยมหลักของสังคม : การดำเนินชีวิตแบบใหม่เป็นหลักประกันที่จะช่วยให้ทั้งมนุษย์และระบบนิเวศอยู่รอดได้ แต่ก็จะมีความขัดแย้งแบบใหม่เกิดขึ้นมา นั่นคือ ระหว่างหลักการ “ความจำเป็นทางนิเวศ” กับหลักการ “ความเจริญก้าวหน้า”
ปัญหาความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่แก้ไขให้ตกไปได้ยาก ในขณะที่ขบวนการสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มที่จะต้องการ “ความอยู่รอด” ของธรรมชาติและมนุษย์ ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมยังลุ่มหลงและใฝ่ฝันถึงความเจริญก้าวหน้า และการดำเนินวิถีชีวิตที่เน้นการครอบครองวัตถุต่อไป
ท่ามกลางความยึดมั่นในวิถีชีวิตที่ดำรงอยู่ มนุษย์จำเป็นต้องก้าวไปให้ไกลกว่านี้ นั่นคือ การเข้าถึงปัญหา “ความแปลกแยกของมนุษย์ที่มีต่อสังคมและธรรมชาติ” ในระบบของโลกที่วิทยาการเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม พยายามสร้างความเจริญทางวัตถุขึ้นมาเพื่อกักขังให้มนุษย์ต้องตกเป็นทาสของวัตถุโดยไม่รู้ตัว ปัจจัยดังกล่าวได้กลายเป็น “พลังที่ควบคุมสังคม” ไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสังคม พฤติกรรมและการกระทำของผู้คนในชีวิตประจำวันก็จะยังคงถูกครอบงำจากลัทธิบริโภคนิยม และการทำลายล้างผลาญทรัพยากรและธรรมชาติจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป
การต่อสู้ทางอุดมการณ์ โดยการวิพากษ์วิจารณ์วิทยาการ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีลักษณะส่งเสริมการทำลายธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์แคบๆ ของมนุษย์จึงกลายเป็นภาระกิจหลักด้านหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อมของโลก การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ต้องการการต่อต้านกระแสที่เชื่อว่า “โลกธรรมชาติคือกลไก” การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะมุ่งไปในทิศทางที่ส่งเสริมให้สมาชิกได้เรียนรู้ร่วมกันเพื่อให้เกิดจิตสำนึกใหม่ที่เน้นว่าโลกธรรมชาติคือ สิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก ซึ่งมนุษย์จะต้องให้ความรักความห่วงใยให้มากที่สุด
ดังนั้นหากจะเปลี่ยนแปลงสังคมและเปลี่ยนแปลงมนุษย์ให้ตระหนักถึงสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและหันมายึดมั่นโลกทรรศน์การดูแล ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมตามแนวทางของ holistic ecology แล้วนั้น ก็ต้องมีการมองอย่างเป็นองค์รวม ไม่ได้แยกส่วนว่าเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคมหรือวัฒนธรรมกับสิ่งแวดล้อมดังที่นักวิชาการทั้งหลายแนวดังกล่าวได้เสนอไว้ เพราะการมองอย่างรอบด้านจะทำให้เข้าใจปรากฎการณ์ สาเหตุของปรากฎการณ์ปัญหา และมีการเสนอแนะแนวทางในการจัดการได้อย่างถูกต้องและครอบคลุมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไขปัญหาการจัดการป่าในพื้นที่ป่าสงวนของชุมชนแห่งหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐเห็นว่าชุมชนบุกรุก และทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณเขตพื้นที่ป่าสงวน จะต้องย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ป่าสงวน หากมองในแนวของ Eco-anarchism ก็จะมองว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่รับใช้อำนาจที่มีอยู่ และความไม่เท่าเทียมของอำนาจประชาชนกับอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐทำให้เกิดปัญหาในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน และหากมองในแนวของประชากรก็จะมองว่า เป็นเพราะชุมชนได้ขยายมากขึ้น มีจำนวนประชากรในชุมชนมากขึ้นทำให้ต้องมีการใช้ทรัพยากรมากขึ้น ทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรบางส่วนไป ซึ่งหากพิจารณาในแนว holistic ecology แล้วนั้น จะต้องมองแบบเป็นองค์รวม มองทุกส่วนไม่แยกกัน เป็นการเน้นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย เป็นเอกภาพของความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยของทุกกลุ่มในโลกชีวะ การเปลี่ยนแปลงในระบบของโลกชีวะมิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงปัจจเจกแต่ละหน่วยเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายของความสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งหมดในระบบของโลกชีวะ การมองธรรมชาติเป็นองค์รวมนี้เป็นรากฐานสำคัญในการขยายมโนทัศน์ของสังคมศีลธรรมให้ครอบคลุมโลกชีวะทั้งหมดด้วย ทั้งนี้การมองอย่างเป็นองค์รวมนั้นก็เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและหาทางแก้ปัญหาได้อย่างรอบด้านมากที่สุด การมองแบบ holistic ecology สามารถที่จะจำลองเป็นแผนภาพ ดังนี้
จากแผนภาพจะเห็นได้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นมีความเชื่อมโยงกับหลายส่วนทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และในแต่ละปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มีความเชื่อมโยงกันเองด้วย
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงมิติทางด้านแนวคิดเท่านั้น เงื่อนไขที่สำคัญที่จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง คือ กลุ่มผู้นำทางธุรกิจจะต้องมีโลกทรรศน์ใหม่ มีจิตสำนึกร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและมองปัญหาอย่างเป็นองค์รวม รอบด้าน
สรุป
การมองปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นมีหลายแนวทาง ซึ่งแต่ละแนวทางพยายามมุ่งเน้นอธิบายปรากฎการณ์ทางสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ปัญหา ทั้งนี้แนวทางที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะสามารถอธิบายสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้ดีที่สุด คือ holistic ecology เนื่องจากมีหลักการของการมองสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ เป็นองค์รวม สิ่งแวดล้อมไม่ได้แยกออกมาจากเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมมีตัวแปรและปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาประชากร วิกฤตการณ์ของสังคมเมือง ความล้มเหลวในการจัดการเกี่ยวกับการควบคุมมลภาวะ ลัทธิบริโภค ลัทธิบูชาเทคโนโลยี การละเลยความคิดแบบนิเวศ วิกฤตการณ์ของการจัดการทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของปัจเจกชนที่เน้นผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่กลุ่ม holistic ecology เสนอ คือการมองอย่างเป็นองค์รวม ไม่ได้แยกส่วนว่าเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคมหรือวัฒนธรรมกับสิ่งแวดล้อมดังที่นักวิชาการทั้งหลายแนวได้เสนอไว้มาก่อน เพราะการมองอย่างรอบด้านจะทำให้เข้าใจปรากฎการณ์ สาเหตุของปรากฎการณ์ปัญหา และมีการเสนอแนะแนวทางในการจัดการได้อย่างถูกต้องและครอบคลุมและให้ความสำคัญทั้งต่อปัจเจกชน ชุมชนและองค์กรท้องถิ่นตลอดจนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
[1] สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ไม่มีความเห็น