เกณฑ์ในการให้ผลของกรรม
จากหนังสือ ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ ผู้แต่ง ว.วชิรเมธี
กรรมก็คือ การกระทำที่เกิดจากความตั้งใจ หรือการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา แต่ถ้ากล่าวให้ตรงยิ่งกว่านั้น เจตนาในการทำกรรมนั้นเองจัดเป็น “กรรม” เนื่องเพราะ “เจตนา”หรือ“ใจ” เป็นผู้ชักใยให้กาย วาจา แสดงออกตามที่ใจต้องการอีกทีหนึ่ง
การให้ผลของกรรมแต่ละชนิดนั้นไม่เหมือนกัน กรรมบางอย่างให้ผลทันทีที่กระทำ เหมือนคนเอามือจุ่มลงในน้ำร้อนหรือเอานิ้วจี้ที่เปลวไฟก็จะรู้สึกร้อนทันที แต่กรรมบางอย่างก็ให้ผลช้า ๆ เหมือนคนปลูกต้นไม้ใหญ่อย่างไม้สัก กว่าจะโตเต็มที่พอจะตัดไปขายก็กินระยะเวลายาวนานกว่าสิบปี และกรรม
บางอย่างก็ให้ผล ชนิดเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป เหมือนชาวไร่ใส่ปุ๋ยที่ต้นไม้ ต้นไม้จะไม่เติบโตงอกงามวูบวาบในทันที แต่จะค่อย ๆ เติบโตงอกงามไปตามเหตุปัจจัยของมัน คัมภีร์วิสุทธิมรรค
จัดลำดับการให้ผลของกฎแห่งกรรมไว้ตามความแรงหรือความเข้มข้นของกรรมที่ทำดังต่อไปนี้
สมาบัติ ๘ ในฝ่ายเลว สมาบัตินั้นเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาขั้นลึกซึ้ง เมื่อปฏิบัติถูกทางแล้วก็จะเห็นผลของการปฏิบัติทันตา เช่น มีความร่าเริง เบิกบาน อิ่มใจ สงบ สุข มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่ง หรือสะอาด สว่าง สงบ เป็นสุข เป็นกลาง ส่วนอนันตริยกรรม
ก็จะให้ผลก่อนกรรมอื่นทุกประเภท อาจิณณกรรมคือ การกระทำทุกอย่างที่เราทำอยู่เสมอ ๆ ในแต่ละวัน
นั่นเอง เช่น คนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาชีพ การฆ่าสัตว์ก็เป็นอาจิณณกรรมของเขา คนที่ปากพล่อยเป็นชีวิต
จิตใจก็เป็นอาจิณณกรรมของเขา คนที่ทำบุญตักบาตรทุกเช้า การทำบุญตักบาตรก็เป็นอาจิณณกรรมของเขา ตกลงว่าเราทำสิ่งใดก็ตามจนกลายเป็นอาจิณณกรรมของเขา ตกลงว่าเราทำสิ่งใดก็ตามจนกลายเป็นความ
เคยชินส่วนใหญ่ในชีวิตของเรา ผลของกรรมเช่นนี้จะให้ผลก่อน
การทำบุญสุนทาน ผลของการทำบุญก็จะให้ผลก่อน แต่หากก่อนตายระลึกถึงความเลวที่ตนเคยทำ ผลของกรรมชั่วที่เคยทำก็จะให้ผลก่อน
ทำสักแต่ว่าพอให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น เช่น เพื่อนนำซองมาแจก จึงควักเงินร่วมทำบุญอย่างเสียไม่ได้ หรือทำร้ายคนอื่นเพราะจำเป็นต้องป้องกันตนเอง
แม้ว่ากรรมทุกอย่างจะมีช่วงเวลาในการให้ผลช้าเร็วแตกต่างกันออกไป แต่กรรมทุกอย่าง
ก็ให้ผลอย่างแน่นอน หากพูดให้เป็นภาษาวิทยาศาสตร์หน่อยก็บอกว่า “ทุก ๆ กิริยาจำต้องมีปฏิกิริยาตามมาเสมอ”
อาจารย์พรทิพย์ วารีกุล
หัวหน้าแผนกทะเบียนและประมวลผล
ไม่มีความเห็น