ประชาธิปไตยต้องเริ่มจากวิถีชีวิต
จากประสบการณ์ความสำเร็จ เพื่อเด็กไทยวัยใส (ฝ่าวิกฤติวัยรุ่น)หนึ่งในแก่น
ความรู้ ที่ได้รับอันเป็นผลมาจากการจัดตลาดนัดความรู้ครูเพื่อศิษย์ (25–27 ส.ค. 48 ณ โรงแรม
รอยัลซิตี้ กทม.) พบว่า ถ้าจะสร้างให้ผู้เรียนมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้น ประชาธิปไตยจะต้องเริ่มจากวิถีชีวิต ของผู้เรียนเองโดย
1. สถานศึกษาจะต้องมีบทบาทในการจัดกิจกรรมสร้างวิถีชีวิตประชาธิปไตย ในโรงเรียนและในบ้าน นั่นคือ ในทุกกิจกรรมคณะครูทุกคนจะต้องสอดแทรกวิถีชีวิตประชาธิปไตยเข้าไปในบทเรียนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นอนุบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเริ่มจากวินัยส่วนตน เพราะวินัยส่วนตนจะส่งผลกระทบต่อวินัยส่วนรวม และที่สำคัญที่สุดจะต้องเริ่มจากตัวเด็กและครูโดยการสร้างบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตยในวิถีชีวิตของผู้เรียนทั้งเมื่ออยู่บ้านและอยู่ในโรงเรียน ได้แก่
1.ร่วมกันกำหนดข้อตกลง เช่น
- ครูพูดนักเรียนต้องฟัง
- นักเรียนพูดครูต้องฟัง
- ก่อนพูดนักเรียนต้องขออนุญาตโดยการยกมือ
- ก่อนออกจากห้องต้องขออนุญาตครู
2. เคารพในสิทธิของผู้อื่น
- หยิบของผู้อื่นต้องบอกเจ้าของก่อน
- ก่อนเข้าห้องผู้อื่นต้องขออนุญาต
3. ยึดมั่นในคารวะธรรม นั่นคือ
- เข้าแถวรับบริการก่อนหลังเมื่อรับของจากครู ขึ้นรถ ซื้อของหรือรับแจกของ
- ก่อนออกจากบ้าน ไหว้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่ น้า อา ถึงโรงเรียนไหว้ครู รับของจากครูต้องไหว้ครู ถึงบ้านไหว้พ่อแม่ ทำผิดยกมือไหว้ขอโทษ เด็กก็จะทำเป็นนิสัย ต่อไปและเขาจะมีใบเบิกทางเพราะเมื่อทำอะไรผิดเด็กก็ยกมือไหว้ขออภัย ได้อย่างไม่เคอะเขิน
4.ปลูกฝังสามัคคีธรรม
- เมื่อเด็กมีวินัยส่วนตนและมีประชาธิปไตยในวิถีชีวิตต่อไปครูก็ต้องนำเด็กเข้าทำกิจกรรมกลุ่มโดยการ
- ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตาม
- ฝึกให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
- ฝึกการเป็นผู้ให้และเป็นผู้รับ
5. ใช้ปัญญาธรรมดำเนินชีวิต
- ฝึกให้ผู้เรียนใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและตัดสินปัญหา
2. สถานศึกษาสร้างระบบประชาธิปไตย โดยจัดให้มีการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างหลากหลายทั้งการแก้ไขปัญหาของนักเรียน และ ส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียน โดยใช้ระบบการดูแลนักเรียน โดยนักเรียน เพื่อนักเรียน ตามขั้นตอนต่อไปนี้(ดังตัวอย่างจาก
โรงเรียนน้ำพองพัฒนศึกษา รัชมังคลาภิเษก โดย ผอ.วิชิต พลบำรุง )
1. ครูร่วมกันจัดทำวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายของโรงเรียน โดยมุ่งสู่
นักเรียนเป็นสำคัญ
2. ครูและนักเรียนร่วมกันจัดทำธรรมนูญนักเรียน เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติและมาตรการต่างๆ โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติจริง ในรูปแบบของสภานักเรียน
3. สภานักเรียนแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในฝ่ายต่างๆ ร่วมกันวางแผนจัดทำโครงการตามบทบาท และหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสนอต่อ สภานักเรียนเพื่อขอลงมติเห็นชอบดำเนินการ
4. ดำเนินงานตามโครงการ ที่ได้รับการลงมติเห็นชอบจากนักเรียน โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาอย่างน้อย งาน / โครงการ / กิจกรรม ละ 1 คน
5. สภานักเรียน โดยคณะกรรมการนักเรียนฝ่ายต่างๆ ติดตามประเมินผล สรุปและรายงานผลการปฏิบัติงาน เสนอต่อสภานักเรียน แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารโรงเรียนต่อไป
การดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวนี้ นักเรียนจะได้มีงานรับผิดชอบอย่างมากมาย เมื่อนักเรียนสามารถกำกับดูแลนักเรียนด้วยกันได้ บทบาทและหน้าที่ ของครูก็ลดน้อยลง ครูก็พอมีเวลา
ที่จะไปพัฒนาการสอนของตนเองมากขึ้น อันจะส่งผลดีต่อการเรียนย้อนกลับไปหานักเรียนอีกเช่นเดิม
3. ประชาธิปไตยสู่ชุมชน
เมื่อผู้เรียนโตขึ้นเขาก็จะไม่นอนหลับทับสิทธิ แต่จะเข้าไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งโดยคำนึงถึงสิทธิของตนซึ่งส่งผลกระทบต่อส่วนรวมและการขายสิทธิขายเสียงก็จะไม่มีประชาธิปไตยต้องเริ่มจากวิถีชีวิต สรุปความจากประสบการณ์ความสำเร็จ เพื่อเด็กไทยวัยใส ข้อมูลส่วนหนึ่งของผู้อำนวยการวิชิต พลบำรุง จาก ร.ร. น้ำพองพัฒนศึกษา รัชมังคลาภิเษก จาก อาจารย์ ดร.วิโรจน์ ศรีโภคา และจากคณะผู้เข้าร่วมประชุมตลาดนัดความรู้ 25 โรงเรียน ซึ่งสถาบันฯ จะทยอยนำเสนอแก่นความรู้ และขุมความรู้ที่ได้จากตลาดนัดความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่ผู้
ประสงค์จะนำความสำเร็จไปต่อยอดความรู้ของตน และขยายผลสู่ผู้เรียนให้เป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข ตลอดไป
คณะทำงาน KM สพบ.
6 ก.ย. 48
ไม่มีความเห็น