Faster Better Cheaper Safer เร็วกว่า ดีกว่า ถูกกว่า ปลอดภัยกว่า น่าจะเป็นเป้าหมายที่เข้าใจได้ง่ายๆ ของโรงพยาบาลทุกแห่ง
เป็นเป้าหมายที่ผมเอามาจาก National Healthcare Group ของสิงคโปร์ คิดว่าเขาคงไม่หวงถ้าใครจะเอาไปใช้บ้าง
โครงการ antibody identification นี้สามารถส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายทั้งสี่ข้อนี้ได้เลย
เรื่องนี้ใช้เฉพาะกับผู้ป่วยที่ทำ antibody screening แล้วให้ผลบวก หมายความว่าอาจจะมี antibody ต่อ minor antigen อยู่ใน serum เมื่อโรงพยาบาลตรวจเองไม่ได้ก็ต้องส่งไปที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 3-7 วัน สามารถลดเวลาในการจัดหาเลือดให้เหลือ 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็ 1-2 วันหากเป็นเลือดที่หายาก ก็ชัดเจนว่าเร็วกว่า ค่าใช้จ่ายในการขนส่งก็ลดลง การใช้เตียงของผู้ป่วยก็ลดลง ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้เลือดอย่างรวดเร็วก็มีความปลอดภัยมากขึ้น
ดูจากจำนวนผู้ป่วยที่พบว่า antibody screening ให้ผลบวกก็มีจำนวนปีละไม่น้อย คือ 50-80 ราย เมื่อโรงพยาบาลพัฒนาศักยภาพของตนเองขึ้น ก็สามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น
บทเรียนตรงนี้น่าสนใจว่า เมื่อเราพบว่าเราต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ จะตัดสินใจอย่างไรว่าเมื่อไรควรทำเอง เมื่อไรที่ควรส่งให้คนอื่นทำ คงต้องชั่งน้ำหนักว่าการทำเองนั้นยากและลงทุนเพียงใด เมื่อเทียบกับผลได้และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ประเด็นที่น่าสนใจศึกษาต่อของเรื่องนี้ก็คือวิธีการทำ antibody identification ซึ่งทีมงานจะนำวิธีการใหม่ๆ มาใช้ น่าจะมีการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการเหล่านี้ถึงต้นทุนและผลได้เปรียบเทียบ เพื่อให้โรงพยาบาลอื่นๆ ใช้เป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ผมก็เชิญโรงพยาบาลทั้งหลายที่มีคลังเลือดอยู่ ลุยเลยครับ ไปดูข้อมูลว่าในแต่ละปีเราพบ antibody screening ให้ผลบวกปีละกี่ราย แล้วที่ผ่านมาเราทำอย่างไรกับกรณีดังกล่าว ส่วนจะตอบสนองอย่างไรนั้นก็ให้ท่านปรึกษากับผู้บริหารของท่านแล้วกันครับ