ครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไทยที่มีความคิดแตกต่าง(คิดถึงอดีต) 2


เรื่องเล่าสำนึกแผ่นดินไทยที่เราอยู่อาศัยในอดีต

เขาไดโนเสาร์ บ้านเขาชะอาง อ.พานทอง จ.ชลบุรี(ธรรมชาติ)

ในอดีตการศึกษาของคนในชาติ หรือคนบ้านนอกก็มีโอกาสได้เรียนหนังสือกันน้อยมากหมู่บ้านหนึ่งอาจมีเด็กเรียนหนังสือเกิน ป.4 ไม่กี่คนหรือบางคนอาจจะไม่ได้เรียนเลยก็ยังมี แม้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งสมัยนั้นรัฐบาลกำหนดให้ภาคบังคับต้องจบ ป.4 แต่บางคนยังเรียนไม่จบ ป.4 ด้วยซ้ำไปแต่ด้วยวิถีชีวิตที่พอเพียงแบบคนสมัยก่อน ยังอยู่กันได้อย่างมีความสุขเพราะ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ความอุดมสมบูรณ์จึงทำให้คนอยู่กับบ้านไม่ทิ่งถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนไปไหน เพราะเขามีกิน อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะเป็นหมู่บ้าน มีอะไรก็ช่วยเหลือกันปกป้องหมู่บ้านกันเองด้วยคนในชุมชนนั้นๆมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้านึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่งในวิถีชีวิตที่ชาวนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายไว้ไถนา แต่เมื่อสมัยก่อนก็ยังมีคนไม่ดีอยู่บ้างเหมือนกันคือโจรผู้ร้าย เที่ยวลักขโมยหรือปล้นวัวปล้นควายชาวบ้านไป ทำให้ชาวบ้านต้องเดือนร้อน แต่ด้วยความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน ก็ช่วยกันคิดช่วยกันป้องกันก็เลยเอาวัวเอาควายมาขังมาผูกไว้รวมกันในตอนกลางคืน ก็พลัดเวรยามกันเฝ้าดูแลก็ป้องกันการลักขโมยของโจรผู้ร้ายได้เพราะชาวบ้านมีความสามัคคีมีความพร้อมในการรักษาทรัพย์สินหรือป้องกันโจรผู้ร้ายได้เป็นอย่างดี ก็ล้วนแล้วมาช่วยกันเองของคนในหมูบ้านหรือในชุมชนนั้นๆเมื่อในสมัยก่อนหากมีโจรลักขโมยวัวควายของใครคนในหมู่บ้านหรือชาวบ้านใกล้เคียงก็จะร่วมมือกันออกติดตามร่องรอยจนสามารถเอาตามเอากลับคืนมาให้เจ้าของจนได้สำเร็จเป็นประจำ นั้นก็จะมองเห็นได้ว่าในสมัยก่อนชาวบ้านหรือคนไทยพึงพาอาศัยกันด้วยใจจริงอยู่ร่วมกันอย่างน่ารักมากๆมีความรักความผูกพันธ์กันจริงๆมีแต่ช่วยเหลือกัน มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าขอใช้พื้นที่นี่บันทึกเรื่องราวส่วนตัวในอดีตสักเล็กน้อยเพื่อเป็นความทรงจำที่นึกขึ้นมาเขียนไว้

        ข้าพเจ้าในวัยเด็กเป็นเด็กบ้านนอกอยู่ชนบทเรียนโรงเรียนวัด บางวิชาก็ไปเรียนที่ศาลาวัดมีพระสอนหนังสือให้ (โรงเรียนวัดสระไคร)พอจบ ป.7 ก็ไปเรียนต่อที่โรงเรียรวิเชียรประชาสรรค์ (ตำบลเชียรเขา)ซึ่งเป็นโรงเรียนต่างตำบลกับบ้านข้าพเจ้าต้องเดินทางไปเรียนประมาณ 7 กิโลเมตรเดินเท้าไปกลับ 14 กิโลเมตา ทุกวันจันทร์-ศุกร์ นำข้าวห่อไปกินที่โรงเรียนจนจบ มศ.3 มาคิดถึงตอนนี้แล้วเป็นไปได้อย่างไรลูกเราแค่ระยะทาง 1 กิโลเมตรยังต้องไปส่ง นั้งรถเก๋งสบายใจ คิดแล้วก็เกิดความภาคภูมิใจเหมือนกันที่เรามีความพยายามและอดทนถึงทำให้คนที่เรารับผิดชอบมีความสุขความสบาย ย้อนคิดเมื่อสมัยเราแม่ลำบากมากๆในการหาเงินให้เราเรียนกว่าจะได้มาสักบาทที่บอกว่าแม่หาเงินมาให้เราเรียนก็เพราะว่าพ่อของเราเสียชีวิตไปตั้งแต่เราเรียนอยู่แค่ชั้น ม.ศ.1(มัธยมศึกษาปีที่ 1สมัยนั้น) ช่วงหน้าน้ำเดือน 12 น้ำท้วมถนนทางเดิน เราจึงเดินทางไปกลับไม่ได้ทุกวันเราก็ต้องไปอาศัยอยู่ที่วัด ก็จะกลับมาบ้านเฉพาะวันศุกร์เนื่องจากน้ำยังไม่ลดแต่ในการเดินทางกลับก็ยังโชคดีที่มีลุงคนหนึ่งจำชื่อได้ว่าชื่อลุงชม จะรับจ้างโดยใช้เรือไม้ซึ่งเอาไม้มาค่ำยันไปเรื่อยๆชาวบ้านคนภาคใต้เรียกว่าเรื่อถ้อระยะทาง 7 กม.เก็บเงินคนละ 1 บาท เด็กโดยสารมาประมา 12 คนก็ลุงเก็บเงินได้ 12 บาท คิดขึ้มมาสงสารลุงจังเลย แต่นั้นเป็นวิถีชีวิตจริงๆเป็นธรรมดาของชาวบ้านที่เดินทางกันเป็นความเคยชินมองเป็นเรื่องธรรมดา รุ่นก่อนจากข้าพเจ้า ปู ย่า ตายาย เล่าให้ฟังว่าคนที่ไปเรียนหนังสือต้องเดินไปข้ามวันข้ามคืนและต้องแบกข้าวสารไปด้วย และหลายเดือนจึงจะได้กลับมาบ้านสักครั้ง เราเลยคิดว่ารุ่นเราโชคดีกว่ารุ่นเขา แต่ปัจจุบันถนนหนทางที่เราเคยเดินกลายเป็นถนนลาดยางหมดแล้ว มีความเจริญมีรถประจำทางหมดแล้วคิดว่าคงไม่มีใครเดินเท้าไปกลับเหมือนสมัยก่อนแล้วนะครับ ไม่มีรถคงไม่ไปไหนแล้ว ไปไม่ได้ ขอบอกกล่าวแค่นี้ก่อนนะครับเพราะถ้าเล่าต่อกว่าจะจบปริญญาคงยังอีกยาว(อิอิอิ)

ที่มาเขียนแบบนี้ในวันนี้ก็เพียงแต่สำนึกในอดีตของเราเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้หวนคิดขึ้นว่าทำใมคนเราจึงมีการเปลี่ยนแปลงกันมากมาย บ้านเมืองก็เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปอันรวดเร็ว ช่วงระยะเวลาผ่านมาในชีวิตข้าพเจ้ายังไม่ถึง 50 ปี แต่ใกล้แล้วครับมีการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ แล้วอนาคตยังจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปถึงใหน ชีวิตคนจะพัฒนาไปอย่างไร มนุษย์จะแย่งชิงอะไรกันยังไม่รู้ หรืออาจจะถูกธรรมชาติทำลายล้างไปพร้อมๆกัน เพราะมนุษย์ก็ย่อมมาจากธรรมชาติ จึงขอภาวนาให้คนไทยทุกคนที่มีชีวิตอยู่ มีสำนึกในแผ่นดินไทยที่ให้เราอยู่อาศัย จงช่วยกันรักษาความรักความสามัคคีไว้เถิดเพื่อจะได้สร้างประโยชน์ให้คนรุ่งหลังอยู่กันอย่างมีความสุขต่อไป ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาศได้ทำดี ความเจริญทางวัตถุอาจทำให้มนุษย์โลกเห็นแก่ตัวมากขึ้น หากมนุษย์ไม่มีคุณธรรมมากำกับในการดำเนินชีวิต

      ขอความสุขสวัสดิ์จงเกิดแด่พี่น้องชาวไทนทุกคนครับ  ขอให้ประเทศชาติมีแต่ความสงบสุขประชาชนมีแต่ความสุขความสามัคต่อสู่กับธรรมชาติ ที่มนุษย์เป็นผู้ที่เคยทำลาย  อย่ามาต้องต่อสู่กับมนุษย์ด้วยกันเลยโดยเฉพาะคนไทยด้วยกัน สู่กันทำลายกันแล้วจะได้อะไร(อำนาจเอาไปใหน)ตายไปจบทุกๆคน คงเหลือไว้แต่ความดีกับความชั่วเท่าเอง ขอจบก่อนครับหากผิดพลาดต้องขออภัยท่านผู้อ่านครับ

 

หมายเลขบันทึก: 353796เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2010 22:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

มาอ่านแล้วยิ่งมั่นใจว่า บ้านเมืองไทยเรา อุดมด้วยทรัพยากรและต้นทุนมากมายค่ะ

  เพราะเรามีบ้านที่สงบสุข ศาสน์ที่ยึดเหนี่ยว พ่อหลวงศูนย์รวมใจ  เราคนไทยจึงใช้ชีวิตได้อย่างสุข สงบ อิสระ เสรี แวดล้อมด้วยมิตรภาพ

 

 

P สวัสดีครับ และขอขอบคุณที่ติดตามอ่านหวังว่าคงเข้าใจประเทศไทยครับ

(คงเข้าใจที่ผมเขียนนะครับ อิอิอิ)ผิดบ้างถูกบ้างลุงแก่แล้ว

สวัสดีค่ะ

  • พี่คิมสังเกตเหมือนกันค่ะ
  • หากย้อนอดีตพบว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก  ยิ่งแก่ลง ๆ เวลาช่างรวดเร็วค่ะ
  • เราไม่สามารถไปสอนคนอื่นให้คิดเหมือนเราได้นะคะ  แต่เราก็อยากจะวิงวินให้ทุกคนคิดดี มีความสุขเช่นเดียวกันค่ะ
  • ขอขอบคุณที่เขียนมาให้อ่าน ให้ได้คิดต่อค่ะ

สวัสดีครับ

มาเยี่ยม มาร่วมสามัคคีประเทศไทย ครับ

P สวัสดีครับพี่ ครูคิม

ความเจริญทางวัตถุมากขึ้นเท่าใดสังเกตุได้ว่ามนุษย์จะยังหลงไหลเท่านั้น แล้วมาทำลายมนุษย์ด้วยกันทำใม อาจจะเพราะความเห็นแก่ตัวและเห็นกับพวกพ้องในอำนาจที่ตนอยากจะมีเป็นของตนเท่านั้นเองหรือ

 

P สวัสดีครับ

ขอขอบคุณครับอาจารย์ที่แวะมาอ่าน มาร่วมสามัคคีประเทศไทย

สวัสดีค่ะ น้องเดชา

  • ฮา  ฮา  รู้อายุแล้ว คงใช้คำแทนตัวเองได้ถูกต้องแล้วค่ะ
  • ขอบคุณที่แบ่งปันนะค่ะ (รำพันจัง)

P ฮ้า...ยังไม่ 50 ครับพี่ รำพันรำพึงไปเล่นๆบันทึกเอาไว้เรื่อยๆครับ  ขอบคุณครับที่แวะมาติดตาม

มาชม

เรื่องเล่าที่น่าสนใจครับผม...

ขอบคุณครับอาจารย์Pumi ที่ตามมาอ่าน

ขอขอบคุณPราชิต  สุพร สามัคคีประเทศไทย

       ได้หวังว่าการแก้ปัญหาประเทศไทยคงจะเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองผู้มีอำนาจครับไม่น่าจะรอมะเร็ง คนไทยทนไม่ไหวแล้วครับ สงสารประเทศไทย

บันทึกนี้อ่านสนุก น่าติดตาม

เขียนเก่งจังเลยค่ะ...พี่เดชา

ไม่ได้เจอกันนานเลยแวะมาทักทายเจ้าค่ะ ^^

สวัสดีน้องบี๋

หายไปไหนมา ว่าจะไปงาน gotoknow ได้รับอนุมัติจากท่านผู้อำนวยการเรียบร้อย แต่งานยกเลิกไปแล้ว เข้าใจทีมงานครับคราวหน้าชวนน้องไปด้วยนะ(อิอิอิ) :-))

หากไม่เปิดใจ...ก็ยากจะสงบสุข...สงสารประเทศไทย

 

รบกวนเปิด Mail อ่านด้วยค่ะ...ขอบคุณค่ะ

ร่วมด้วยช่วยกัน สามัคคีประเทศไทย

ได้ข้อคิดเลยนะคะ

เมื่อเป็นเด็กการเดินระยะทางเป็นกิโล เป็นเรื่องปกติ

เมื่อสูงอายุ การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกอย่างหนึ่ง

สำหรับผู้สูงอายุ

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเด็กๆสมัยนี้

พ่อแม่จึงไม่ปล่อยให้เดินไปโรงเรียน

ขอบคุณค่ะ

P ขอบคุณ น้องจรรย์ ครับ และจะไปเปิด mail อ่านครับ มีอะไรหนอ  :-))

 สวัสดีครับคุณP ขอบคุณครับที่แวะมาสามัคคีประเทศไทย ยินดีด้วยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท