การเจรจาระหว่างประเทศกับการค้าเสรี
ในการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศนั้น แต่ละประเทศย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกันนั้นก็คือผลประโยชน์สูงสุดที่ประเทศของตนจะได้รับจากการดำเนินการนั้นๆ หากแต่รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศย่อมมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินการที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่บริบททางสังคมและเศรษฐกิจของโลกในขณะนั้นจะเอื้ออำนวย
การดำเนินการของประเทศไทยในขณะนี้มีความโน้มเอียงที่จะให้ความสำคัญกับการดำเนินการในลักษณะทวิภาคี หรือการเจรจาสองฝ่าย มากกว่าที่จะดำเนินการในลักษณะพหุภาคี หรือการเจรจาหลายฝ่าย ดังเห็นได้จากการเลือกเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าในทุกภูมิภาคของโลก
เหตุใดรัฐบาลไทยถึงเลือกดำเนินการเช่นนั้น...?
การเจรจาการค้าในลักษณะพหุภาคีนั้นเป็นการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกันในกลุ่มผู้เจรจาเพื่อหาผลประโยชน์สุดท้ายร่วมกันที่ทุกประเทศสามารถยอมรับและปฏิบัติตามได้ ดังนั้นเงื่อนไขต่างๆที่ประเทศหนึ่งเรียกร้อง ประเทศคู่เจรจาประเทศอื่นๆก็ต้องให้การยอมรับข้อเรียกร้องนั้นทั้งหมด หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเจรจาต่อรองเพื่อหาผลประโยชน์สุดท้ายร่วมกันอันเป็นที่ยอมรับ การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจึงค่อนข้างล่าช้าและหาข้อยุติได้ยาก เพราะแต่ละประเทศมีความสามารถทางเศรษฐกิจที่ไม่ทัดเทียมกัน การดำเนินการที่ผ่านมาจึงต้องกำหนดช่วงเวลาเพื่อให้ประเทศในกลุ่มที่เข้าเจรจาสามารถปรับตัวและพร้อมเข้าสู่การค้าร่วมกันได้ อย่างเช่นภายใต้กรอบ AFTA ที่ไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนต่างเป็นสมาชิกร่วมกัน แต่ในการดำเนินการนั้นปรากฏว่าการเปิดเขตเสรีระหว่างกันกลับมีช่วงเวลาไม่เท่าเทียมกัน สินค้าประเภทหนึ่งสามารถซื้อขายได้อย่างเสรีกับประเทศหนึ่งแต่ยังไม่สามารถดำเนินการในลักษณะเดียวกันได้กับอีกประเทศหนึ่ง เพราะแม้จะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนแต่ประเทศบางประเทศก็อ้างความสามารถทางเศรษฐกิจเพื่อหน่วงระยะเวลาออกไปจนกว่าตนเองจะมีความพร้อมหรือมีความสามารถเพียงพอ
แต่ในขณะที่การดำเนินการค้าแบบทวิภาคี หรือโดยการเจรจาสองฝ่ายนั้น ประเทศคู่ค้าสองประเทศสามารถจับมือมานั่งเจรจาหาข้อตกลงที่ต่างฝ่ายต่างต้องการได้อย่างตรงไปตรงมา สิ่งใดที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นอุปสรรคแล้วอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตนสามารถยกประโยชน์ดังกล่าวให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งได้เพียงเท่านี้การเจรจาก็เป็นผลสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอความเห็นพร้อมอย่างการเจรจาแบบพหุภาคี การเจรจาการค้าแบบทวิภาคีนี้แม้จะดูว่ามีความสะดวกสบายคล่องตัวในการเจรจาเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน แต่หากพิจารณาลงไปให้ลึกซึ้งจะเห็นได้ว่าการเจรจาแบบทวิภาคีเป็นตัวการสำคัญในการขัดขวางการรวมกลุ่มประเทศไม่ให้เกิดขึ้นได้ หลายครั้งที่สินค้าประเภทหนึ่งถ้าค้าขายกับประเทศในอาเซียนแล้วจะมีมาตรฐานภาษีหรือมาตรฐานทางศุลกากรที่ต่างกับการค้าขายกับประเทศคู่ค้าที่เจรจาเปิด FTA ไว้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วการเจรจาในรูปแบบทวิภาคีจึงควรตระหนักถึงผลเสียในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
แล้วเจรจาหลายฝ่ายกับเจรจาฝ่ายเดียว ตกลง...อะไรดีกว่ากัน
หากพิจารณาแล้วย่อมไม่มีคำตอบที่ดีพอจะชี้ได้ว่าการเจรจาประเภทใดจะให้ผลประโยชน์แก่ประเทศไทยได้ดีกว่ากัน จะมีก็แต่ภาครัฐบาลเท่านั้นที่ควรกระตุ้นเตือนให้ภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมทั้งปวงของประเทศตื่นตัวและพร้อมรับกับการแข่งขันเสรีที่นับวันจะทวีความสำคัญมากขึ้นภายใต้ข้อตกลง WTO และรัฐเองก็ควรมีช่องทางที่น่าสนใจต่อการขยายตัวของธุรกิจ-อุตสาหกรรมในประเทศด้วย เพราะหากภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมของไทยแข็งแกร่งและมีรากฐานที่มั่นคงเพียงพอโดยรัฐไม่จำเป็นต้องให้การสนับสนุนอีกต่อไป เมื่อนั้นไม่ว่าเราจะเจรจากี่ฝ่าย สองฝ่ายหรือหลายฝ่าย ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
นรุตม์ เจียมสมบูรณ์
เสนานิคม
๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๙
เห้อ...จะได้กี่คะแนนเนี่ย
งานเสร็จแบบกระชั้นชิดขนาดนี้
อาจารย์สั่งมาตั้งนาน รู้อย่างนี้ทำเสียแต่เนิ่นๆก็คงดีหรอก...ไม่น่าเลยเรา
ไม่เป็นไร แก้ตัวคราวหน้า
นอต
ยังมีเวลาตบแต่งอีกหลายครั้งตามความขยัน แต่ต้องมีการส่งงานครั้งแรกก่อนเที่ยงคืนวันศุกร์ หากอยากได้คะแนนดีที่สุด เป็นคะแนนของวินัย
เราคิดว่างานที่นรุตม์ทำ อ่านง่ายดีนะ และปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยคือเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทยเอง
ขอบคุณครับสำหรับทุกความเห็น
"...และปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยคือเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทยเอง"
อืม...ความจริงแล้วนอตว่าที่เด่นชัดเลยน่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจมากกว่า การจัดการเศรษฐกิจของประเทศถ้าสังเกตแล้วจะเห็นว่าขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ ประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่ให้ความสำคัฐกับกระทรวงที่เกี่ยวกับการเงิน การพาณิชย์ การอุตสาหกรรม หรือให้ความสำคัญกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ดี ประเทศไทยเองเพิ่งจะมีแนวโน้มไปในทิศทางดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้เอง ทั้งนี้ก็เพราะที่ผ่านมารัฐบาลส่วนใหญ่เลือกที่จะทุ่มเทความสำคัญกับกระทรวงหรืองานในด้านที่สามารถเอื้อผลประโยชน์ให้แก่รัฐบาลเสียมากกว่า ดังนั้นฐานรากทางเศรษฐกิจของไทยที่ควรจะได้รับการดูแลจากรัฐจึงอ่อนไหว และเมื่อเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่ในปี ๔๐ เศรษฐกิจไทยจึงไม่สามารถต้านทางปัญหาดังกล่าวได้
อ่านแล้วค่ะ เห็นว่าไม่ว่าจะเจรจากี่ฝ่ายนั้น จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเจรจา ย่อมต้องขึ้นอยู่กับอำนาจในการต่อรองระหว่างรัฐที่เข้าร่วมเจรจานั่นเอง ถ้าอำนาจทางเศรษฐกิจของรัฐดังกล่าวมีฐานรากอันมั่นคงแล้ว เชื่อว่าไม่ว่าจะเจรจาแบบใดๆ หรือกี่ฝ่ายย่อมไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว....ขอบคุณที่มีบทความที่กระตุ้นต่อมคิดให้อ่านค่ะ พี่น๊อต
ขอบคุณมากครับกิ๊ก
เอาไว้บทความน่านะ จะเป็นเนื้อหาที่ต่อเนื่องขยายความออกไปอีกในแง่ของศักยภาพและความพร้อมของไทยในการแข่งขันครับ
นอต
เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะทุกวันนี้เศรษฐกิจของประเทศเราจำเป็นที่จะต้องติดต่อ ค้าขายกับต่างชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความตกลงทางการค้าจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะผลกระทบที่ตามมาจากความตกลงนั้น ย่อมส่งผลถึงประชาชนในประเทศนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น รัฐจึงควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นอันดับแรก และควรสอดคล้องกับความพร้อมของประเทศในการแข่งขันทางการค้ากับต่างชาติ
การแร่งรีบเจรจาทำข้อตกลงทางการค้า โดยที่ไม่ได้ศึกษาถึงผลดี-ผลเสียอย่างถี่ถ้วน ย่อมจะเกิดปัญหาตามมาได้ภายหลัง เพราะต้องไม่ลืมว่าการป้องกันปัญหาที่จะเกิดมา ย่อมง่ายกว่าการที่ต้องมาตามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบเหมือนงูกินหาง
หวังว่า ข้อตกลงทางการค้าของเราคงยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมาเป็นที่ตั้งสูงสุด....
อ่านง่ายดีคะ แยกออกเป็นหัวข้อโดยใช้คำถามง่ายๆ ทำให้เข้าใจดีคะ
อยากรู้ความหมายของ คำว่า "ทวิภาคี" "ไตรภาคี" ที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศค่ะ