ท่านผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดีครับ วันนี้หลายคนไม่ทราบอาการของโรคไต และความสูญเสียที่จะเกิดเมื่อเป็นโรคไต ดังนั้น เมื่อคนมีอายุมากกว่า 30 ปี ไตจะเริ่มทำงานลดลงหรือเสื่อมอย่างช้า ๆ ตามอายุขัย โดยเฉลี่ยจะลดลงประมาณ 1 % ต่อปี แต่เมื่อเกิดโรค ไตจะเสื่อมลงเร็วกว่าปกติ กรณีที่ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรือหยุดทำงานทันทีเรียกว่า "โรคไตวายเฉียบพลัน" ซึ่งไตอาจจะฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ถ้าได้รับการรักษาที่เหมาะสม แต่ถ้าไตเสื่อมลงอย่างช้า ๆ ต่อเนื่องทำให้ไตเกิดความผิดปกติถาวรเรียกว่า "โรคไตเรื้อรัง" กรณีที่ไตเกิดความเสื่อมอย่างมาก (ไตทำงานได้น้อยกว่า 15 % ของไตคนปกติ ) จะเรียกว่า "โรคไตวายระยะสุดท้าย"
โรคไตเรื้อรังเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1. โรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเอสแอลอี (ภูมิคุ้มกันผิดปกติ) โรคเก๊าท์ นิ่วในไต ไตอักเสบ การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะซ้ำ ๆ เป็นต้น
2. ผลข้างเคียงจากการใช้ยาและสารเคมีต่าง ๆ ได้แก่ ยาแก้ปวดโดยเฉพาะยาที่เรียกว่า "เอ็นเสด" ยาลดความดันโลหิต ยาปฏิชีวนะ ยาลดความอ้วน เป็นต้น
3. กรรมพันธุ์ หรือความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด เช่น เด็กที่มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 2,500 กรัม (สองกิโลครึ่ง) โดยไตของเด็กเหล่านี้จะทำงานน้อยกว่าเด็กทั่วไป เด็กที่มีความผิดปกติของไตโดยกำเนิด เช่น ไตมีขนาดเล็ก มีการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือ โรคถุงน้ำในไต เป็นต้น
ผู้ป่วยที่ตรวจพบว่าไตทำงานผิดปกตินานติดต่อกันเกินกว่า 3 เดือนโดยไม่หาย ถือว่าเป็น "โรคไตเรื้อรัง" ซึ่งสามารถแบ่งได่เป็น 5 ระยะคือ
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1 ไตยังทำงานปกติ แต่ตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น ปัสสาวะมีตะกอนผิดปกติ อาจจะเรียกได้ว่า "ไตเริ่มผิดปกติ"
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 2 ไตทำงานเหลือ 60 - 90 % หรือ "ไตเรื้อรังระยะเริ่มต้น"
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ไตทำงานเหลือ 30 - 60 % หรือ "ไตเรื้อรังระยะปานกลาง"
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4 ไตทำงานเหลือ 15 - 30 % หรือ "ไตเรื้อรังเป็นมาก"
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 ไตทำงานเหลือน้อยกว่า 15 % หรือ "ไตวาย"
อาการของโรคไตเรื้อรังและการตรวจเพื่อหาโรคไต
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคไตเรื้อรังโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ มักจะไม่รู้ว่าตนเป็นโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากไม่ปรากฎอาการที่ชัดเจนให้รู้ หรือมีอาการแต่ไม่รู้ว่า ไตเสื่อม ดังนั้นจึงไม่สามารถจะวินิจฉัย "โรคไตเรื้อรัง" จากอาการได้โดยง่ายต้องอาศัยการตรวจเลือดและปัสสาวะ
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่ต้องสงสัยว่า "อาจจะมีโรคไต" หรือ "เสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรัง" ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังดังได้กล่าวมาแล้ว และผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางปัสสาวะทุกชนิด เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะมีฟองหรือโปรตีน ปัสสาวะเป็นก้อนนิ่ว ไม่สะดวก ขัด สะดุด ต้องเบ่งนาน ปัสสาวะแสบ ขุ่น ปัสสาวะออกน้อย หน้าบวม ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะบ่อย หรือต้องตื่นมาปัสสาวะตอนดึก (ไม่ได้ดื่มน้ำมากก่อนนอน) อาการเหล่านี้บ่งถึง "โรคไต" ทั้งสิ้น ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวจะต้องได้รับการตรวจหาโรคไต ก่อนจะบอกว่าไม่ใช่โรคไตก็ได้
ในการตรวจหาโรคไตเรื้อรัง ท่านอาจขอรับการตรวจสุขภาพไตง่าย ๆ 3 อย่างที่โรงพยาบาล หรือคลีนิก โดยท่านไม่จำเป็นต้องงดอาหาร การตรวจทั้งสามอย่าง ได้แก่ 1. การวัดความดันโลหิต 2. การตรวจปัสสาวะ 3. การตรวจเลือด หาระดับสารที่เรียกว่า "ครีอะตินีน-creatinine"
ท่านที่มีสุขภาพไตปกติควรจะมีผลตรวจดังนี้
1. ความดันโลหิตต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท
2. ผลการตรวจปัสสาวะ ปกติ
3. ระดับครีอะตินีนในเลือด มีค่าต่ำกว่า 1.2 มก. % อย่างไรก็ตาม หมอจะต้องเป็นผู้อ่านผลตรวจและให้การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังแก่ท่านเอง
การดูแลรักษาโรคไตเรื้อรังระยะต่าง ๆ
การดูแลรักษาโรคไตเรื้อรังมีหลายอย่าง ซึ่งจะต้องรักษาตามระยะของโรคไตเรื้อรังต่าง ๆ กันดังนี้
-โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1 งดสูบบุหรี่ รักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรัง
-โรคไตเรื้อรังระยะที่ 2 จำกัดอาหารเค็ม
-โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 จำกัดอาหารโปรตีน
-โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4 จำกัดการกินผลไม้
-โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 เตรียมตัวรับการล้างไต หรือ ผ่าตัดปลูกถ่ายไต
ท่านอ่านแล้วคงระวัง และหมั่นตรวจดูแลสุขภาพให้ดี อย่าเป็นโรคไตนะครับ
สมพงษ์/พิมพ์/เผยแพร่
ขอบคุณค่ะ พอลล่ากำลังจะจัด http://gotoknow.org/blog/paula-story/350040 ชวนไปร่วมกิจกรรมด้วยค่ะ