ก่อร่างสร้างธุรกิจ วิกรม กรมดิษฐ์ (ตอน 9)
คนเราคงเคยมีสักครั้งที่ลองตั้งคำถามถามตนเองว่าเราคือใคร,
เกิดมาทำไม, เพื่ออะไร, ที่แท้จริงแล้วเราต้องการอะไร
และจะเดินไปสู่หนไหน วิกรม
กรมดิษฐ์เองก็เป็นคนหนึ่งที่มักจะตั้งคำถามในแบบเดียวกันนี้เพื่อถามตัวเอง
ในทุกวันครบรอบวันเกิดของเขา
ซึ่งมันเป็นคำถามที่เขาใช้ทบทวนแผนการดำเนินชีวิตด้วยตนเองที่ผ่านมา
ดังนั้นด้วยวิธีนี้ทำให้เขามองและขีดเขียนวาดภาพตัวเองในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างชัดเจนอย่างมีเหตุและผล
เขาเคยวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต
เพื่อตอบคำถามที่มักถามตัวเองเสมอว่าอะไรที่เป็นปัจจัยทำให้เขาได้ขึ้นมาถึง
จุดนี้ในวันนี้ และคำตอบหนึ่งที่ได้รับคือความมีวินัย
ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็ก
เขาได้รับการสั่งสอนให้มีระเบียบวินัย
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายจากพ่อแม่
การเป็นลูกชายคนโตที่ต้องดูแลน้อง ๆ ดูแลคนในครอบครัว
ดูแลคนงานในไร่ และปัจจัยปลีกย่อยเช่น
ความทะเยอทะยานส่วนตัวและความกระตือรือร้นที่ชอบการเก็บหอมรอมริบ
ชนิดที่เรียกว่าตามคำสอนเตือนใจที่ผู้ใหญ่มักเฝ้าสอนว่า
“มีสลึงค์พึงบรรจบให้ครบบาท
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์...”
รวมไปถึงการไปใช้ชีวิตวัยรุ่นที่ต้องดูแลตัวเอง
จัดสรรการเงินอย่างมีระเบียบวินัย
ไม่สุรุ่ยสุร่ายหรือทำตัวเรื่อยเปื่อย เพราะ
การไปอยู่ต่างแดนเพียงคนเดียวนั้นทำให้ต้องระมัดระวังเรื่องเงิน ๆ ทอง
ๆ เพิ่มขึ้นกว่าการอยู่บ้านพ่อแม่หลายเท่าตัวนัก
เมื่อเติบใหญ่พอที่จะบริหารธุรกิจของตนเองก็ต้องมีวินัยทางการเงินมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเป็นนักเรียนนักศึกษาเสียอีก
ต้องรู้จักควบคุมความต้องการ เรียนรู้ว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร
ด้วยวิจารณญาณของตัวเองได้จะทำให้การดำเนินชีวิตอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้พื้นฐานการเติบโตของอมตะจึงเป็นแบบทีละขั้นอย่างมั่นคงและเส้นทะแยงขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้ผู้ถือหุ้นที่ลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรมอมตะกับเขาต่างก็ประสบความสำเร็จกันเป็นอย่างดี
เมื่อเขาอายุได้ 48 ปี
เขาก็เริ่มวางแผนถอยฉากทีละเล็กทีละน้อยออกมาจากองค์กร “อมตะ”
ที่เขาเป็นผู้ก่อร่างสร้างขึ้นมาพร้อมกับค่อยๆ
โอนถ่ายงานให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้น
พนักงาน รวมทั้งส่วนของครอบครัวและน้อง ๆ
โดยวางเป้าหมายในการทำงานอย่างเด่นชัด
ว่าตนเองจะทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย
และเป้าหมายให้กับองค์กรเท่านั้น สำหรับองค์กรแล้ว
คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง
เมื่อก้าวลงสนามทำงานถ้าเรารู้จักถ่ายทอดความคิดและประสบการณ์ถูกต้องและมีประโยชน์ที่มีให้และกำหนดเป้าหมาย
นโยบายให้ดีพร้อมตัวเราวางตัวเป็นที่ปรึกษาที่ดีและคอยติดตามงานให้เหมาะสม
ก็จะทำให้งานนั้นมีสองวัยในตัวคือ คนหนุ่มเป็นคนลงมือทำงาน
ส่วนเถ้าแก่เป็นเหมือนกล้องส่องทางไกลและคอยช่วยบอกทิศทางอยู่ข้างหลัง
ดังนั้นอมตะจึงโตขึ้นตามลำดับ และหนี้สินลดลงเรื่อย ๆ
เชคสเปียร์
เคยเปรียบโลกมนุษย์ว่าเป็นเช่นโรงละครโรงใหญ่
ที่มีมนุษย์เป็นตัวละครแสดงบทบาทต่างๆ ทั้งรัก โศก ทุกข์ สุข
และดีชั่วโดยถ้วนหน้า
และต่างก็หมุนเวียนกันแสดงบทโน้นบทนี้ไปตามเนื้อเรื่อง
ซึ่งทำให้เราสามารถมองเข้าใจถึงความจริงของโลก
และการเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ได้ถ่องแท้ขึ้น
โดยไม่ติดยึดอยู่กับสถานะหรือบทใดบทหนึ่ง ทั้งใช้ชีวิตอย่างมีสติ
รอบคอบ ไม่หลงระเริงไปกับลาภยศสรรเสริญชั่วครู่ชั่วยาม
William Shakespear นักประพันธ์ชาวอังกฤษ
สิ่งที่อยู่คู่โลกมาทุกยุคทุกสมัยคือความชั่วและความดี
ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลศและนิสัยและจิตใจส่วนลึกที่ร้างการกล่อมเกลา
กับการมีปัญญาระลึกรู้สิ่งอันพึงประพฤติและหิริโอตัปปะหรือการละอายต่อบาป
ซึ่งพฤติกรรมจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่ที่มนุษย์เป็นฝ่ายเลือกเองว่าต้องการ
จะดำเนินไปในหนทางใด ทั้งความชั่วและความดีล้วนเป็นความจริงแท้
ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ขาวเป็นดำหรือดำเป็นขาวได้
และเป็นสิ่งซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยกาลเวลา ไม่เสื่อมสูญไปไหน
แม้ว่าเขาคนนั้นจะลาจากโลกนี้ไปนานเพียงไรก็ตาม
ดังนั้นข้อสำคัญคือเราจะเลือกเป็นที่จดจำหรือครหาจากคนรุ่นหลัง
ในระยะหลังมานี้วิกรมได้มีโอกาสอยู่กับตัวเองและความสงบมากขึ้น
ทำให้เขามีเวลาที่จะครุ่นคิดใคร่ครวญเรื่องต่างๆ
และเปิดโลกทัศน์จากการอ่านหนังสือหลากหลายขึ้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามองเห็นตัวเองแจ่มชัดมากขึ้น
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือเห็นความเป็นไปและความผิดพลาดของตนเองและคนอื่น
ๆ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมากขึ้นด้วย
“มูลนิธิ อมตะ” ได้ถือก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว
เพื่อเป็นสะพานที่เชื่อมต่อจากการทำงานนิคมอุตสาหกรรม
ด้วยจุดมุ่งหมายที่ว่า
เขาได้ทำในสิ่งที่สนใจและภูมิใจว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือต่อสังคมและโลก
โดยเอาเวลาส่วนที่เหลือของชีวิตที่เหลือมาดำเนินการไปเรื่อยๆ
โดยใช้เงินของเขาและครอบครัวทั้งหมด
ซึ่งเป็นโอกาสที่เขาจะทำแต่ความดีให้กับชีวิตของตนเองบ้าง
เขาตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนกับศิลปิน
นักเขียนหรือนักเรียนที่เรียนเก่งและมีแววความเป็นอัจฉริยะแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์
เขาอยากให้เวทีอมตะเป็นเวทีสำหรับคนดี คนเก่งและมีคุณธรรม
เขาจึงได้ใช้เงินส่วนเกินที่เหลือทั้งหมดจากการจับจ่ายใช้สอยส่วนตัวไปในกิจการของมูลนิธิ
เพราะเขาคาดหวังว่าเงินเหล่านั้นจะสามารถสร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นในสังคมได้อีกอย่างมากมาย
วิกรมมองว่าเงินทองที่เขามีหากไม่ได้ใช้ก็ไม่ใช่ของเขา
และมันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาอีกต่อไปเมื่อตายไปแล้ว
แต่มันจะมีค่าอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ดุจดังปณิธานว่า “ผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน”
คนไทยเราควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญเพื่อความสุข
ความร่มเย็นของบ้านเมืองมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 60 ปี
และประพฤติปฏิบัติตนตามที่ทรงพระราชทานแนวทางและปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง
ไม่ว่าจะในเรื่องการทำความดี การประหยัด
การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อส่วนรวม การสมัครสมานสามัคคี
และการรู้จักความพอเพียงให้เหมาะสมกับสถานภาพที่แท้จริงของตนเอง
สิ่งเหล่านี้หากเราสามารถปฏิบัติได้ย่อมจะสามารถสร้างความสุขแก่ทั้งตนเอง
คนรอบข้างและสังคมไทยโดยรวมได้เป็นอย่างดีและอย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งยังส่งผลดีและทำให้พระองค์ท่านทรงมีความสุขอย่างแท้จริง
ด้วยการถวายความจงรักภักดี และทำงานในหน้าที่ต่างๆ ให้ดีที่สุดและ
อย่างจริงใจโดยยึดแบบอย่างการกระทำของพระองค์เป็นแนวทางก็จะนำประเทศชาติไป
สู่ความสงบสุข ยั่งยืน และนำความมั่นคงมาสู่ลูกหลานของเราตลอดไป
เมืองอมตะ
ถูกวาดแผนตามความฝันที่จะให้เติบโตขึ้นเพื่อเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ
เป็นทั้งศูนย์รวมแหล่งความรู้ ความทันสมัย
ทั้งยังคงความเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย
เขาต้องการที่จะเห็นภาพของทุกสิ่งมีชีวิตในอมตะมีความสุขทั้งกายและใจ
และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
และวันนี้ความภาคภูมิก็บังเกิดในใจของเขา
เขารู้สึกว่าเขาเดินมาถูกทางการวางแผนไม่ทำตัวเป็นเถ้าแก่ช่วยทำให้ชีวิตของเขามีคุณค่าในอีกแง่มุมหนึ่งมากขึ้นและอย่างน้อย
ๆ ก็ทำให้เขาตระหนักว่า “ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว”
แต่ยังมีมิติอื่นๆ
ที่สวยงามและมีคุณค่าสำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ดีไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ความฝันของวิกรม
กรมดิษฐ์ได้ดำเนินมาระยะเวลาหนึ่งของอดีตที่ผ่านมา
และทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เคยหยุดฝัน
เขากำลังพยายามมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายเรื่อยๆ
แบบเป็นขั้นเป็นตอนและมีระบบ เขาเชื่อว่าในอนาคตไม่ไกลนี้
เราจะได้เห็นว่าประเทศไทยมีเมืองใหม่ที่ชื่อว่า “อมตะ”
ที่สามารถอวดสายตาชาวโลกได้โดยไม่อายใคร
และเมืองนั้นคงจะเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมที่มากที่สุดในภูมิภาคเลยกระมัง
ก่อร่างสร้างธุรกิจ วิกรม กรมดิษฐ์ (จบ)
ในวันวานบริษัท อมตะ
โฮลดิ้ง จำกัด หรือชื่อเดิมว่า วี แอนด์ เค
เริ่มนับหนึ่งบนเส้นทางธุรกิจด้วยเงินติดตัวของวิกรม
กรมดิษฐ์ที่ได้มาจากการทำธุรกิจที่มหาวิทยาลัยไต้หวันเพียง
20,000 บาท
ทุกอย่างในวันนั้นที่เขาใช้สร้างกิจการมีแต่เงินกู้ยืมทั้งสิ้น
ทั้งจากแม่ เจ๊ตุ๋ย ลูกป้าเล็ก ไถ่ลูกป้าเฮียง
และคุณอนุชิต บุญทอง ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าชีวิตธุรกิจของวิกรมเริ่มขึ้นด้วยเงินทองของผู้คนรอบข้างทั้งสิ้น
นั่นคือเงินลงทุนทั้งหมดที่เขาใช้ก่อการในธุรกิจอมตะ
การทำงานที่ขาดเงินจนท้อเสียแทบขาดใจนั้นเป็นของคู่กันมาเนิ่นนาน
เพราะพื้นฐานที่เริ่มจากศูนย์ของเขา ขาดทั้งความรู้
ประสบการณ์ ความเข้าใจ
ตลอดจนเล่ห์เหลี่ยมในกลอุบายในการทำงาน การเมือง
การซื้อขายที่ดิน ฯลฯ เขาพยายามให้กำลังใจ
สร้างความหวังให้กับตัวเองเสมอไม่ว่าจะเป็นวันที่หม่นหมองเดียวดายหรือหดหู่สักเพียงใด
เพราะรู้ดีว่ารุ้งงามจะโผล่ผุดเมื่อหลังพายุกระหน่ำ
เขาใช้ความฝัน
ความทะเยอทะยานหล่อเลี้ยงตัวเองและใช้เป็นไฟในการส่งเสริมผลักดันให้ตนเองและผู้ที่ร่วมลงเรือ
“อมตะ” มีความฝันและเป้าหมายเดียวกัน
จากนิสัยส่วนตัวของเขาทั้งความซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ
รวมถึงการบริหารเงินอย่างมีระบบ ใช้ให้ถูกประเภทและมีวินัย
ทำให้เขาสามารถพา “อมตะ” ก้าวพ้นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมาได้
โดยหลังจากวิกฤตนั้น
วิกรมจึงกลายเป็นบุคคลที่มีเครดิตดีจนบรรดาธนาคารต่างๆให้ความไว้วางใจที่จะ
ปล่อยเงินกู้ชนิดที่เรียกว่าแทบจะขนเงินมาให้ยืม
โดยไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาค้ำประกันเลย
นิคมอมตะเริ่มใช้วงเงินสูงมากขึ้น จากที่เคยเป็นหนี้เพียงไม่ถึง 10
ล้าน ก้าวขึ้นเป็นร้อยกว่าล้านบาทในช่วงทำนิคมได้เพียงปีเดียว
และกลายเป็นหลายร้อยล้านในอีก 2 ปีต่อมา จนล่าสุด อมตะ
คอร์ปอเรชั่น เป็นหนี้เกือบ 4,000 ล้านบาท และเงินกู้ภายนอกประเทศอีก
20 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนอมตะ พาวเวอร์ ก็มีหนี้ปาเข้าไป 2,000 ล้านบาท
และเงินจากต่างประเทศอีก 150 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ก็เพราะเขาได้อิทธิพลจากคำพูดของคุณนงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์
ที่ว่า “นักธุรกิจที่ไม่มีหนี้ถือว่าไม่มีเครดิต”
ตอนนั้นจึงมีหนี้สินทั้งหมดราวหมื่นกว่าล้านบาท
การทำงานซื้อที่ดินควบคู่ไปกับการใช้เงินจำนวนมากมายยังคงถือเป็นงานหินที่สุดและปวดหัวที่สุด
เพราะแม้ว่าจะเป็นความเหนื่อยยาก
แต่ทำให้วิกรมและคนที่ทำงานทุกคนมีความสุขและความภาคภูมิใจที่ทำงานยากให้
สำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อ จาก 300 ไร่จนกลายเป็น 40,000
ไร่ในระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ล้มลุกคลุกคลาน
จนเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้
และแล้วในวันที่ 24
ธันวาคม 2546
หนี้ก้อนสุดท้ายที่อมตะกู้มาจากธนาคารกสิกรไทยก็สามารถจ่ายคืนได้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย
นับได้ว่าวันนั้นเป็นวันแรกที่อมตะเป็นอิสระจากสถานะลูกหนี้
หลังจากนั้นวิกรมได้ให้เจ้าหน้าที่การเงินปรับเปลี่ยนระบบและการค้ำประกันของการกู้เงินของอมตะใหม่ทั้งหมดคือ
ต้องกระจายกู้เงินไปทุกธนาคารที่สนใจจะทำธุรกิจกับอมตะ
การกู้ใดๆ จะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอีกเด็ดขาด
และสัดส่วนการใช้เงินกู้นั้นควรอยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 50
ของทรัพย์สิน และที่ดีคือควรให้อยู่ในระดับร้อยละ 20
ของทุนจดทะเบียน แต่ที่ดีที่สุดคือการไม่มีหนี้จากธนาคาร
แต่ยังคงมีวงเงินกู้เผื่อไว้ใช้สำรอง
ทั้งหมดนี้
คือสูตรการบริหารการเงินการธนาคารของอมตะและครอบครัวกรมดิษฐ์
ที่ยึดหลักการเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อสร้างอนาคตในการดำเนินงานที่บริษัทจะต้องก้าวไปสู่ความมั่นคง
แข็งแกร่งหากต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง
เป็นดั่งภูมิคุ้มกันภัยอันตรายแห่งอนาคต
เพื่ออมตะจะได้อยู่ในโลกแห่งอิสระจากหนี้สินอย่างถาวร
นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้อมตะเป็นอิสระนั่นคือ
เรื่องการบริหารงานในองค์กรที่ปล่อยวางจากรูปแบบปิระมิดซึ่งยึดติดกับตัวบุคคล
ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา
เขาพยายามกระจายอำนาจการตัดสินใจให้หัวหน้าแต่ละส่วนไปจัดการกันเอง
โดยเขาจะดูเฉพาะภาพรวมว่ามีหนี้เท่าไหร่ในไตรมาสนี้
และมีกำไรได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่
เขาเชื่อว่ากาลเวลาที่ผ่านมาสามารถหล่อหลอมให้ทุกคนมีความสามารถและความคิด
ที่จะนำอมตะไปสู่ถนนแห่งความสำเร็จได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีความจำเป็นต้อง
ผูกติดกับตัวบุคคล ซึ่ง ณ
จุดนั้นสามารถเรียกว่าเป็นอมตะที่แท้สมบูรณ์แล้ว
วิกรม กรมดิษฐ์ กับ Amata Castle
การขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะในประเทศไทยในปี
2549 จนถึงปี 2551 นั้นทำให้อมตะมีพื้นที่ดินดิบมีจำนวนกว่า
10,000 ไร่ ซึ่งจะใช้เงินซื้อที่ดินมหาศาล
ถือได้ว่าเป็นการเสี่ยงในการลงทุนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอมตะ
และเนื่องจากการเติบโตของการลงทุนต่าง ๆ
ที่ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยและอมตะมีสัดส่วนทางการตลาดเกือบ
40 % ของทั้งหมด รวมกับสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเสร็จสมบูรณ์เมื่อสิ้นปี
2549 ได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางอากาศให้กับโครงการต่าง ๆ
ในภาคตะวันออก
ทำให้เขาตัดสินใจเสี่ยงอีกครั้งในการที่จะควักเงินก้อนมหาศาลเพื่อแผนการระยะยาวของความเป็น
“เมืองอย่างแท้จริง” ในอนาคต ซึ่งจะครอบคลุมเมืองมหาวิทยาลัย
เมืองอุทยานวิทยาศาสตร์ นิคมไฮเทก เขตพาณิชย์ สนามกีฬา สวนสนุก
และที่อยู่อาศัยพร้อมเขตอุตสาหกรรมทั่วไปซึ่งเติบโตและขยายตัวปีละกว่า
100 โรงงาน
วันนี้อมตะเป็นบริษัทมหาชน การกระทำหรือการตัดสินใจของวิกรมในฐานะผู้ที่เป็นหัวหน้าในการกำหนดนโยบายครั้งนี้ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบอย่างจริงจัง เขาผ่านปัญหาต่างๆ ของการขาดที่ดินมาเสนอลูกค้ามากครั้ง การต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่อบริษัทจึงเป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบใน ฐานะซีอีโอของบริษัท เขาเดินหน้าโครงการดังกล่าวเพื่อนำอมตะไปสู่อนาคตซึ่งจะทำให้อมตะในประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมดรวมกัน 4 หมื่นไร่ที่อมตะนครและอมตะซิตี้ ส่วนที่เวียดนามอีกสองหมื่นไร่หรือรวมกันแล้วกว่า 100 ตารางกิโลเมตร จะทำให้อมตะมีโอกาสที่จะหาเงินลงทุนจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือมีผลผลิตมูลค่า 1 ล้านล้านบาท เป็นสัดส่วน 10 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และจะมีความต้องการแรงงานถึง 3 แสนอัตรา ถือว่าสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับคนที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงงานต่างๆในนิคมอีกหลายแสนคน
แผนที่อากาศอมตะนคร
เขานึกถึงการวางแผนในอนาคตระยะยาว
เมืองอมตะจะเป็นเมืองที่มีคุณภาพมากยิ่งๆขึ้นไปอีก
เป็นศูนย์รวมของการศึกษาระดับมีชื่อเสียงแห่งภูมิภาคนี้
โดยมีคณะที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยที่ดีของโลกมารวมกันอยู่ในเมืองมหาวิทยาลัยอมตะ
โดยหวังว่าเมืองมหาวิทยาลัยอมตะนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการศึกษาของลูกหลานเราไปได้หลายร้อยล้านบาทในอนาคต
นอกจากนี้พื้นที่ว่างที่ไม่ได้ใช้ก่อสร้างอาคารเกือบ 40 %
เขาจะดำเนินการให้เป็นพื้นที่สีเขียวให้หมด
โดยหวังจะให้ให้มีพันธุ์พืชทุกชนิดอยู่ภายในอมตะ
เขาอยากให้ทุกชีวิตในอมตะเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ
สามารถใช้ชีวิตในอมตะได้อย่างมีความสุข
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ของชีวิตการทำงานด้านธุรกิจของวิกรม
กรมดิษฐ์ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ ณ จุดที่สูงสุดในโลกแห่งวัตถุ
เมื่อปี 2549-2551 นิตยสารฟอร์บส์ได้จัดให้เขาติดอันดับ 40
มหาเศรษฐีของเมืองไทย
และนิตยสารการเงินการธนาคารจัดให้เขามีหุ้นมูลค่าอันดับ 10
ของตลาดหุ้นเมืองไทย
นอกจากนี้ยังมีอีกโครงการ หนึ่งซึ่งวิกรม
กรมดิษฐ์ได้วาดฝันไว้ตั้งแต่ปี 2545
ออกแบบโดยม.ล.ท้าวเทวา เทวกุลกับบริษัท นันทวัน จำกัด
หรือที่รู้จักในชื่อ “โอบายาชิ” นั่นคือ การสร้างอมตะ
คาสเซิ่ล ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2548
ฤกษ์งามครั้งนี้มีที่มาจากความต้องการที่จะขอขมาต่อความผิดพลาดในอดีตจนถึง
ปัจจุบันที่ผมได้ล่วงเกินและคิดร้ายต่อพ่อซึ่งเป็นผู้ให้ชีวิตและเลี้ยงดูผมมา
จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคมซึ่งเป็นวันพ่อและในปีที่ครบ 60
ปีแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยเป็นฤกษ์ดีในการก่อสร้าง
ที่แห่งนี้เขาถือว่าเป็นการสร้างเวทีแห่งประวัติศาสตร์สำหรับเหล่าศิลปินใน
ภูมิภาคสุวรรณภูมิในการนำศิลปินที่น่าเชิดชูของโลกแต่ยังมีชีวิตอยู่
เป็นพิพิธภัณฑ์และแหล่งเก็บรักษา
รวบรวมผลงานที่ศิลปินทั้งหลายในยุคนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสและ
ภาคภูมิใจของศิลปะแห่งสุวรรณภูมิ
Amata Castle
และหากทุกอย่างดำเนินไปสู่เป้าหมาย
เขาก็มีความฝันที่อยากจะมีหนังชื่อ “ผมจะเป็นคนดี”
สร้างในฮอลลีวู้ดเป็นโครงการสุดท้าย
ซึ่งถือเป็นอันจบสิ้นความฝันทั้งหมดของเขาแล้ว
หลังจากนั้นแล้วทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาเหลือจากการใช้จ่ายในบั้นปลายชีวิตจะ
ยกให้มูลนิธิทั้งหมดเพื่อใช้ประโยชน์ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรก
โดยที่ไม่เหลืออะไรที่เป็นชื่อส่วนตัวของวิกรมบนเส้นทางที่เขาจะต้องเดินไปสู่วาระอันเป็นศูนย์ที่ว่างเปล่าของชีวิต
ที่มา http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=23186.0
ไม่มีความเห็น