Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

คุณภาพของสติ


พระครูปลัดวีระนนท์ วีรนนฺโท : เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญราช พระวิปัสสนาจารย์ http://www.veeranon.com/

เมื่อเห็นสภาวะชัดแจ้งเช่นนี้ คุณภาพของรูป คุณภาพของสติ

เขาเรียกกันว่า Mental Expression แห่งการรับรู้สภาวะ

รู้สภาพตลอดสายแห่งการเกิดและดับของชีวิต ของขันธ์ ๕ นั่นเอง

ซึ่งขันธ์ ๕ ที่เกิดดับแต่ละครั้งนั้น ผู้มีปัญญาญาณท่านั้นที่จะรู้ได้

มีสติสัมปชัญญะ  ปัญญาตรงนี้เป็นสภาวะปัญญาธรรม

กายเป็นสังกัปปะปัญญา

ถ้าเป็นภิกษุเป็นภิกษุปัญญา เป็นสมาธิที่เป็นสมาธิปัญญา 

เป็นพละเรียกว่าพละปัญญา 

เป็นพลังแห่งปัญญาที่เกิดขึ้น

นี้คือพลังแห่งความรู้ที่แตกแยกออก ปลงตกได้

หากตีไม่แตกและแยกไม่ออก หรือปลงไม่ตกทุกข์ก็จะเกิดขึ้น

ก็จะเป็นความหลง คือหลงสภาวะหรือหลงสภาพธรรมว่า

ตัวเรานี้กำหนดชัดเจนรู้ทุกอย่างถ้วนทั่วหมดแล้ว

ดั่งตัวอย่างพระกปิละ

 

เรื่อง ปลาสีทองกปิละ 

“ผลของการกล่าวธรรมผิดเพี้ยน”

 

พระกปิละได้ศึกษาพระไตรปิฎกครบจบทั้ง ๓ หมวด คือ

พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธัมมปิฎก เรียนจบทุกหมวด

รู้ทุกสูตร ทุกบาทพระคาถา ทุกคำพจน์ที่กล่าวของพระพุทธเจ้า

แต่พระกปิละไม่ได้รู้สภาวธรรมที่เที่ยงแท้ตามความเป็นจริงของรูปธรรม  นามธรรม

แต่รู้ด้วยการตรึกตรองคิดเอาเอง รู้ตามบททฤษฎีปริยัติ

แต่ไม่รู้สภาวธรรมทางการปฏิบัติที่แท้จริง

แต่ขณะเดียวมีพี่ชายที่มีอายุมากได้บวชพร้อมกัน

ก็มุ่งเน้นแห่งการประพฤติปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน คือ

รู้กายในกาย รู้เวทนาในเวทนา รู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรม

พิจารณาธรรมอยู่ ๔ อย่าง จึงเกิดรู้แจ้งแทงตลอดเห็นจริง จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

 

แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่มีป้ายปริญญาบอกว่าผู้ใดบรรลุธรรมแล้ว

ในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นผู้ยกย่องว่าคนนั้นเป็นเอตทัคคะ

หรือมีความเป็นเลิศทางด้านนั้นหรือทางด้านนี้เท่านั้น

โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีปริญญาบัตรบอกเหมือนผู้บรรลุทางวิชาการ

 

เรื่องราวของพระกปิละปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ในเรื่องปลาสีทอง กล่าวคือ

ในสมัยที่ศาสนาพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ได้มีกุลบุตรสองพี่น้องออกบวชในสำนักพระสาวกทั้งหลาย

คนพี่ชื่อว่า โสธนะ คนน้องชื่อว่า กปิละ เมื่อบวชแล้วคนน้องได้ชื่อว่า พระกปิลเถระ

ท่านเป็นผู้มีพหูสูตในเรื่องพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี คือรู้สภาวธรรมตามหลักพระไตรปิฎกที่จารึกเขียนไว้

มีบริวารและลาภสักการะมากมาย เพราะท่านเป็นพระที่พูดเก่ง สอนเก่ง

เมื่อบุคคลที่เป็นพระปฏิบัติมาติเตียนหรือมาตักเตือนในสิ่งที่พระกปิลเถระ ได้สั่งสอนลูกศิษย์อยู่  

พระกปิลเถรกลับตอบว่า “พวกคุณทั้งหลายไม่รู้เท่าฉัน อย่ามาแนะนำฉันเลย”

พระกปิละถือตนว่าเป็นผู้ฉลาดกว่าผู้อื่น

เมื่อพระภิกษุไม่เชื่อคำตนก็จะด่าด้วยวาจาหยาบคาบ จากพฤติกรรมดังกล่าว

พระกปิลเถระ จึงเป็นผู้ที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา โดยไม่มีใครที่จะกล้าตักเตือน ไม่มีใครที่จะกล้าบอก เพราะพระกปิลเถระ เป็นผู้เก่งด้านปริยัติ

ซึ่งในครั้งนั้นพี่ชายคือพระโสธนะ  ที่ได้บวชพร้อมกันก็ขอเรียนการปฏิบัติวิปัสสนาธุระ

ท่านชอบปฏิบัติอุดมสุข คือมีความสุขอยู่ในป่าไม้สะแกนั้น ไม่ได้สนใจโลกภายนอกใดๆ จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

 

ด้วยความหลงโมหะของพระกปิลเถระ ที่คิดว่าตัวเองสำเร็จเป็นคัมภีร์เคลื่อนที่และด่าบริภาษพวกพระภิกษุผู้มีศีล

เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีจนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ด้วยเศษวิบากกรรมดังกล่าวจึงได้ไปเกิดเป็นปลาสีทองในแม่น้ำอจิรวดี

เหตุที่ไปเกิดเป็นปลาสีทองเพราะรักษาศีลดีแต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ การรักษาศีลคือไม่ประพฤติผิด

ยกตัวอย่างบางคนบอกว่าฉันอยู่เฉยๆ ไม่ผิดศีล ไม่คิดอิจฉาริษยาทำลายใคร ฉันก็รักษาศีลอยู่แล้ว

แต่ ศีลกรรมบถ ๑๐ นั้น วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓

 

กายกรรม ๓ คือ ไม่ลักของเขา ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ประพฤติผิดลูกเมียเขา

 

วจีกรรม ๔ คือ ไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เหล่านี้

 

ตลอดทั้งมโนกรรม ๓ ไม่คิดร้าย ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท

  

สิ่งเหล่านั้นได้เกิดขึ้นหรือไม่ จึงต้องเอามาพิจารณาด้วย

 

อย่างไรก็ตามพระกปิลเถรผู้ไม่ได้สภาวธรรมตามความเป็นจริง

ด้วยเศษกรรมนั้น จึงเกิดเป็นปลาสีทอง

ขณะนั้นชาวประมงลากอวนได้ปลาสีทอง ชาวประมงก็คิดในใจว่า “เราจะเอาไปขายก็ใช่ที่ จะเอาปลามากินก็กระไรอยู่” จึงนำไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อหวังจะได้รับพระราชทานรางวัลบ้าง

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทอดพระเนตรเห็นปลาสีทองผิดปกติไปจากปลาทั่วไป จึงนำไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร ขณะที่ทุกคนไปดูปลาสีทองๆก็อ้าปากหายใจส่งกลิ่นเหม็นหึ่งทั่วพระเชตวันมหาวิหาร

 

เมื่อปลาสีทองหุบปากก็จะไม่มีกลิ่นเน่าเหม็น ทำให้พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจยิ่งนัก จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมปลาจึงมีสีทองคำและทำไมปลาจึงมีกลิ่นปากเหม็นเช่นนี้”

พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพพกรรมของปลากปิละ และตรัสว่า “การที่ปลาสีทองอ้าปากทีไรได้กลิ่นเหม็นเน่าทุกที สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปลาสีทองกล่าวธรรมผิดเพี้ยน การกล่าวธรรมที่ผิดเพี้ยนนั้นเป็นการประทุษร้ายธรรมและพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า”

 

จากผลของกรรมนั้นเป็นกรรมหนักทำให้ปลาสีทอง ปากเน่า ปากเหม็น

 

คนที่เป็นมะเร็งที่ปากอาจจะมาอยู่ในกรรมตัวนี้ก็ได้ เพราะเคยโกหกมดเท็จหรือเคยหลอกลวงผู้อื่น จึงทำให้ปากเน่าปากเหม็น ฉะนั้น  ต้องระวังวจีกรรมให้ดี

 

ทางฝ่ายพี่ชายคือพระโสธนะนั้น  ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เข้าสู่แดนพระนิพพาน

 

นี่คือการรู้สภาวธรรม รู้สภาวทุกข์ตามความเป็นจริง กับการรู้หลักปริยัติโดยฝ่ายเดียว

 

ติดตามอ่านตอนต่อไปที่นี่ค่ะ

 

อิสระแห่งจิต

 

http://gotoknow.org/blog/mindfreedom

 

ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน

 

บุญรักษา  ธรรมคุ้มครองค่ะ

  

 

หมายเลขบันทึก: 350171เขียนเมื่อ 7 เมษายน 2010 14:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท