กฎบาปคราบนักบุญ


มุมเล็กๆ...ที่น่าติดตาม

“ เรื่องสั้นเรื่องนี้อิงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นมุมเล็กๆ ที่น่ากลัวและคนหลายคนอาจไม่เคยสัมผัส ” แต่เราอยากให้สังคมได้รับรู้และช่วยกันแก้ไข

 

กฎบาปคราบนักบุญ

                                                            เรื่องโดย  สุกรณ์  บงไทสาร  นามปากกา

_____________________________________________________________________________

 

                แสงแดดอัสดงแต่งแต้มขลิบขอบฟ้าฉาบทาเป็นเส้นทอง   ส่องประกายแสงอ่อนๆลูบไล้แนวพฤกษาที่ยืนระย้าเล่นลมไกวอย่างน่าภิรมย์  หมู่วิหคโผผินบินสู่รังเสียงเจือยแจ้วบอกแจ้งจวนเวลาใกล้สายัณห์  แว่วเสียงหมากกะโหล่งจากฝูงวัวควายถูกไล่ต้อนสู่คอก  ดังประสานสอดรับกับเสียงกระตุกเท้าเป็นจังหวะคล้ายดนตรีบรรเลงเพลงชีวิตที่ดำเนินมาสิ้นสุดอีกครั้งในแต่ละวัน

                ร้านข้าวแกงยายสายท้ายซอยยังทำหน้าที่เป็นแหล่งเสบียงอาหารให้ทุกผู้ทุกคนเลือกซื้อเลือกหาตามใจชอบ   มันเสมือนแหล่งอาหารจำเป็นของคนทำงาน  มนุษย์เงินเดือน  และเป็นสถานที่พบปะสนทนาของชาวบ้านในตอนหัวค่ำนั่นเอง

                ไผ่ : “เฮ้ย!” สวัสดี “ บุญชู” 

                เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้นมา ทำให้บุญชูหันขวับฉับพลันตามแรงเสียงนั้นโดยไม่ตั้งตัว

                ไผ่ : “นายสบายดีหรือเปล่า  ดูท่าทางเหมือนจะไว้หุ่นนะหมู่นี้  ตอนเรียนด้วยกันนายท้วมไม่เบานี่”  เสียงเอ่ยทักด้วยความตื่นเต้นดีใจ น้ำเสียงแกมหยอกดังต่อเนื่อง

                ไผ่เป็นเพื่อนเก่าเรียนร่วมชั้นกับบุญชูตั้งแต่สมัยประถมฯ – มัธยมฯ  หลังจากที่เขาทั้งสองจบมัธยมศึกษาปีที่ 6  ต่างคนก็ต่างไปตามทางของตน โดยไม่ได้แยแสเวลาและคืนวันที่ผ่านพ้น ทราบเพียงว่า  บุญชูไม่ได้เรียนต่อเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่ง  เขาจึงช่วยพ่อแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน  ส่วนไผ่โชคดีหน่อยเข้าไปทำงานกับน้าที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่แยกจากกัน จนกระทั่งวันนี้ไผ่มีโอกาสกลับบ้านนอกอีกครั้ง

                บุญชู : “อ้าว! สวัสดีเช่นกันไผ่”  บุญชูยิ้มด้วยความเอิบอิ่ม พร้อมพูดต่อว่า “ จากกันหลายปีดูนายล่ำซำขึ้นนะ  ส่วนเราก็ไปเรื่อยๆไม่แน่นอนอย่างนี้แหละ  ช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินแถวๆบ้านเรา  งานก็น้อยเงินก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนอยู่กรุงเทพฯ หล่ะนะ  ก็เลยดูผอมๆหน่อย” 

                ไผ่ : “ เอ้อ” บุญชู !  เราเดินผ่านมาเมื่อกี้  เห็นที่บ้านของยายนางเขาทำอะไรกันเสียงเอะอะโวยวายกันใหญ่เลย  แถมทุกคนใส่ชุดสีขาวด้วยนะ”  ไผ่พูดด้วยอาการตื่นเต้นและสีหน้าท่าทีสงสัย

                บุญชูนิ่งอึ้งกับคำถามที่ไผ่โยนให้เข้าเต็มอก  สะท้อนในอกลึกๆจากเรื่องสนุกกลับกลายทำให้สีหน้าบุญชูขมึงตึงเล็กน้อย  ก่อนตอบว่า...

                บุญชู : “ คงไม่มีอะไรหรอก  เขาคงกำลังสวดมนต์อะไรกันสักอย่างนี่แหละ”  บุญชูตอบแบบเปรยๆด้วยน้ำเสียงกลางๆ  ก่อนเขาจะรับถุงกับข้าวที่สั่งไว้กับยายสายและบอกลาไผ่เดินกลับบ้านด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสู้จะดีนัก

                บุญชูกลับถึงบ้าน  วางถุงกับข้าวไว้ในครัวก่อนเดินออกมานั่งนอกชานเรือนครุ่นคิดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นที่บ้านของยาย  ซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านก็ว่าได้ที่ชาวบ้านป้อนคำถามเช่นไผ่  ให้บุญชูตอบไม่เว้นวัน

                ท้องฟ้าเปลี่ยนจากพลบค่ำกลายเป็นมืดสลัว  แสงไฟเริ่มปรากฏชัดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทุกครัวเรือน  ท้าทายแสงจันทร์ที่พราวเด่นอยู่บนนภาเรียงรายรายล้อมไปด้วยดาราน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน  สายลมความคิดพัดกระตุ้นห้วงคำนึงของบุญชูจนสะท้านไปทั้งกาย  เขาสับสนในความคิดและความรู้สึกจากการพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นแต่ละวัน

                และนี่ก็เป็นอีกวันหนึ่ง  ที่บุญชูเสร็จสิ้นภารกิจมีโอกาสมานั่งเล่นนอกชานเรือนเช่นเคย  เสียงสวดพึมพำภาษาแปลกๆ ลอยมากับสายลมเป็นจังหวะถนัดถนี่จากบ้านหลังข้างๆ  บุญชูเหงี่ยหูฟังพอรู้ว่าช่วงแรกๆนั่นมันคือ ภาษาจีน  และช่วงหลังๆ มันคือภาษาบาลีสันสกฤต เหมือนเขาเคยสวดก่อนนอนบ่อยๆนั่นเอง

                “ อีโควโสว ” เสียงลูกคู่รับผู้นำสวด พร้อมโน้มกายลงบนพื้นแสดงความเคารพขึ้นลงขึ้นลงเป็นสิบๆครั้ง  บุญชูเคยแอบด้อมๆมองๆ ลอดหน้าต่างกระจกเข้าไปยังเสียงนั้น  เห็นหมู่คนแก่ คนหนุ่ม- สาว ทั้งชายและหญิงมากมาย ทำปฏิกิริยาคล้ายดังแมงมุมขยุ้มขย่ำอย่างไม่ขาดสาย  พอละสายตาขึ้นสู่เบื้องบนผนังห้องจึงทราบว่ามีรูป “พระแม่กวนอิม” และ “ ชายแก่สวมชุดจีนสีดำ” ติดอยู่เป็นรูปเคารพ  แต่อย่างไรก็ตามความคิดบุญชูในตอนนั้นก็ยังไม่แปลกใจอะไรมาก  เพราะใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ไม่สำคัญขอให้ใจยึดมั่นในความดีและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็เป็นพอ  เขาจึงเลิกความสนใจไปชั่วระยะหนึ่ง...

                หลายวันต่อมา... บุญชูสังเกตเห็นรถตู้  รถเก๋ง  รถปิคอัพ  วิ่งเข้าออกทุกสัปดาห์หมุนเปลี่ยนเวียนกันไป   รถปิคอัพสีบรอนและสีฟ้า วิ่งต่อท้ายกันเข้ามาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังเดิมอีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา  ท้ายกระบะบรรทุกคนที่แต่งกายสีขาวเต็มคันรถเพื่อมารับฟังธรรมะ  ซึ่งเขาเหล่านั้นมาจากหลายหมู่บ้านและต่างจังหวัด  หวังมารับธรรมที่ “ สถานธรรม” แห่งนี้

                ปึ๊ก!! เสียงประตูรถยนต์ถูกเปิดออก  บุคคลที่นั่งอยู่ข้างหน้าก้าวขาแตะพื้นดินลงจากรถอย่างสุภาพ  แต่ละคนดูมีสง่าราศี สะอาดสะอ้าน  ใส่สูท  ผูกไทน์  สวมรองเท้าคัชชูขัดมันสะท้อนกับแสงนีออนจนเห็นเงา

                “ ถึงแล้วครับ  ถึงแล้วครับ ให้ทุกคนเตรียมตัวลงจากรถไปล้างเท้าที่หน้าบ้าน  แล้วเข้าไปภายในเลยนะครับ” เสียงพูดอย่างสุภาพ สยบทุกความเคลื่อนไหว  ทำให้อะไรๆง่ายขึ้น

                ทุกคนเสร็จสรรพเหมือนถูกกำหนดไว้ตามกฎเกณฑ์  การบรรยายธรรมเริ่มขึ้นอย่างปรกติ  เรียบง่าย...  บุญชูแอบฟังอยู่ชานเรือนพอจับความได้ว่า “ เป็นการกล่าวถึงความศรัทธาและอานิสงค์ในการเชื่อมั่นในพระองค์ ปิดท้ายด้วยการกล่าวถึงผู้มีบุญคุณ” บุญชูนั่งฟังอย่างเพลิดเพลินก่อนเขาจะกลับไปนอน  เก็บแรงไว้ทำงานในวันรุ่งขึ้น

 

                                            .........................................................................

 

                กลุ่มคนชุดขาวใช้ชีวิตในบ้านหลังนั้นเช่นวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน  โดยไม่มีใครที่จะคิดกลับบ้านของตนเองเลยสักคน  แม้บ้านของพวกเขาเหล่านั้นจะอยู่เพียงไม่กี่คืบก็ตาม  มันคือสถานธรรมอันวิเศษวิโสในสายตาพวกเขา  ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำต่อว่าของใคร

                ยายนางแกเป็นยายของบุญชูเอง  เป็นทั้งหัวหน้าสถานธรรมและเจ้าของบ้าน  แต่ก่อนแกมีสามีแต่ไม่มีลูกด้วยกัน  แกจึงไปขอลูกพี่สาวตนมาเลี้ยง  เผื่อว่าวันหนึ่งแกแก่ตัวไปจะมีคนเลี้ยงแกบ้าง  และต่อมาไม่นานสามีของแกก็ต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน  เหลือเพียงยายนางกับลูกเลี้ยง  ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของบุญชูอาศัยอยู่ด้วยกัน  ดูแลกันและกันตลอดมา

                กระทั่งน้าสมศรีมีครอบครัว  แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันกับยายนางเช่นเคยไม่เคยคิดจะโยกย้ายสถานที่ไปไหน  เพียงหวังจะเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง  นับวันยายนางเริ่มเปลี่ยนไปชอบเล่นหวย  บ้าพนันไม่สนใจเรื่องครอบครัวแล้วแต่จะกินอยู่อย่างไร  แต่บุญชูเคยได้ยินชาวบ้านเล่าว่า  ยายนางแกเป็นคนมีเงินมากในบัญชีเป็นแสนๆ  เพราะแกเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว  และวันหนึ่งด้วยอะไรไม่ทราบที่ชักโยงให้แกพบกับคนชุดขาว  และผลักดันให้แกเป็นเจ้าแม่สถานธรรมโดยใช้บ้านตนเป็นสถานที่ประกอบการ

                “ คุณแม่ครับ วันนี้ผมมีบุญมาบอกครับ  คือทางเราได้จัดตั้งธนาคารบุญขึ้น ใครฝากมากก็ได้บุญมาก  ใครทำน้อยก็ค่อยๆ สะสมบารมีไปนะครับ  มาก – น้อย เราไม่ว่ากัน”   คำเชิญชวนอย่างสุภาพของนายชุดขาวผูกไทน์  กำลังทำหน้าที่กวัดแกว่งอรรถรสสุนทรวาจาที่น่าเชื่อถือให้ลูกหมู่ชุดขาวกระทำตาม  อย่างไม่ระแคะระคาย

                นานวัน...  ธนาคารบุญยิ่งเพิ่มจำนวนทรัพย์มากขึ้น  และจำนวนคนมากหลาย  บ้างมีวัวขายวัว  มีความขายควาย  เงินที่หาได้ครั้งเก่าก่อนเคยทำงานนำมาฝากไว้ทั้งหมด   เพื่อหวังบุญกุศลให้ไปเกิดในโลกพระศรีอาริยเมตไตรยในภายภพหน้า  ดังคำพรรณนาความสุขสบายของนายธนาคารบุญกล่าวถึง

                เสียงงอแงแต่ละเช้าก่อนไปโรงเรียน  พร้อมกับเสียงไม้เรียวขนาบก้นเริ่มได้ยินบ่อยครั้งขึ้น   จากแต่ก่อนแม้เสียงตะโกนด่าทอ เอะอะโวยวายให้ลูกก็ไม่มี   มีแต่เสียงหยอกล้ออย่างอบอุ่นของครอบครัวตอนหัวค่ำและตื่นนอน

                “ มึงจะเอาไปทำอะไรมากมาย  เฮอะ!! กูให้แค่นี้ก็ไม่พอ... ก็อีแค่ไปโรงเรียนข้าวเขาก็มีให้กิน  มึงจะเอาอะไรอีก... ”   เสียงดุแกมตวาดจากบ้านในซอยลึกทำให้คนในละแวกนั้นตกใจตามๆ  กัน

                “ ก็แม่ครับ  ผมต้องใช้เงินนะครับแม่...  อาจารย์ให้ทำรายงานส่ง   ผมต้องเข้าเล่มนะแม่  ค่าขนมก็ยังไม่พอ  ห้าบาทเอง  ฮือ... ฮือ...”  เสียงอธิบายปนเสียงสะอื้น จากเด็กน้อยเป็นทอดๆ

                “ กูให้มึงเพิ่มอีกแค่ห้าบาท  เป็นสิบบาทคงพอนะ... เกินนี้กูไม่มีให้  รายงานคงจะไม่ทุกวันหรอก”  ชั่วหายใจเพียงฮืดหนึ่ง  กับท่าทางอันขมึงตึง... ก่อนน้ำเสียงอันดุดันจะผงาดต่อ...

                “ กูจะเอาเงินไปฝากธนาคารบุญ  สร้างบุญกุศลให้กับครอบครัว  มึงเข้าใจไหมหละ  กูว่าเรียนไปก็เท่านั้น  ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเล้ย...”  หางเสียงของผู้เป็นแม่สะบัดสูงแสดงอาการไม่แยแสกับสิ่งที่กล่าวใดๆ ทั้งสิ้น   ก่อนเดินเชิดหน้าเข้าบ้านไปโดยไม่ไยดีกับเหตุการณ์  ปล่อยลูกน้อยยืนร้องไห้สะพายกระเป๋าข้างจักรยานคั่นเก่าซอมซ่อ เตรียมเดินทางไปโรงเรียนอย่างลำพัง

                เสียงสวดมนต์เริ่มเหือดหาย   รถปิคอัพสีฟ้าเริ่มไกลห่างสัปดาห์ละครั้งก็ยังไม่เห็นแม้เงา   ปล่อยให้ผู้เฒ่าสวดพึมพำ   ทำตามกฎที่ตั้งไว้อย่างไม่ไยดี   นานๆ  หรือเป็นเดือนจะมาครั้ง   เพื่ออบรมคนที่เหลือให้ยึดมั่นต่อไป   คนใดทนไม่ไหวกับการฝึกปฏิบัติก็ออกไป

                น้าสมศรีเคยเล่าให้บุญชูฟังว่า...  ทุกวันพระวันศีล  จะมีร่างทรงหนึ่งคนเป็นผู้หญิงทำเป็นเจ้าเข้าทรงร้องขู่เข็ญบังคับ   กระทำต่างๆ นาๆ  เพื่อให้กลุ่มคนสีขาวทำตาม   ใครคิดคดไม่ซื่อสัตย์ก็จะได้รับโทษตามการกระทำนั้น   บ้างเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด   บ้างเสียงเอะอะโวยวาย  จนคนบ้านใกล้เรือนเคียงนอนไม่หลับ   ถึงกับตะโกนเข้ามาด่า

                “ ทำอะไรกันเฮ้ย ! คนจะหลับจะนอน ไม่มีงานการทำหรือไรว่ะ  ตะโกนด่ากันโหวกเหวกโวยวายอยู่ได้ ”  ชาวบ้านเรือนชิดติดกันตะโกนใส่ในบางวัน         

                ที่ร้านข้าวแกงยายสายเริ่มเป็นที่จับกลุ่มซุบซิบนินทา   กลุ่มคนเสื้อขาวอย่างโจษขาน

                “ การงานมันไม่พากันทำนะ  นั่งสวดมนต์เช้าเย็น  แล้วก็ทำอะไรเอะอะหนวกหู”  ต้นเสียงจากชาวบ้านคนหนึ่งเริ่มนำร่องเรื่อราว  ขณะต่อคิวซื้ออาหาร

                “ จะให้พวกมันทำอะไรหละ ,  ก็ขายนา  วัว  ควาย  สะสมบุญไว้กินชาติหน้าแล้วนี่   ลูกจะไปโรงเรียนมันยังร้องด่ากันทุกวันเล้ย เฮอะๆ ”   เสียงหนึ่งสอดแทรกเสริมความคิด  เสมือนดั่งกองแต๊กที่กำลังบรรเลงขณะสวนสนาม

                “ หนักกว่านั้นนะ  ข้าได้ยินมาว่า  มันไม่ให้ใครใส่บาตรพระหรือไว้พระรูปใดทั้งสิ้น  เพราะว่ามันถือว่า  มันปฏิบัติเคร่งกว่าพระไง”  น้ำเสียงสลับขึ้นลงดังเกรียวกราวของชาวบ้าน  ทำให้สถานการณ์เย็นวันนั้นที่ร้านยายสายเมามันมาก

                บุญชูเฝ้าคอยดูเหตุการณ์ทุกวัน  เสียงด่าทอของชาวบ้านยังก้องเต็มสองหูเป็นระยะๆ  ที่เขาไปซื้ออาหารร้านยายสาย  จะไม่สนใจก็ไม่ได้นั่นมันเป็นการนินทายายของเขาเอง  บุญชูพยายามหาทางแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นแต่คงจะยาก   เพราะดูแต่ละคนในสถานธรรมหลงศรัทธาเข้าอย่างเต็มที่  เรื่องของความศรัทธานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยซิ  ที่จะขุดให้คนกลับมาเป็นดังเคย  มองดูน้าสมศรีนับวันยิ่งเหม่อลอย   สามีไม่อยู่ด้วยเพราะเบื่อสถานการณ์ในบ้านที่เป็นอยู่  ลูกสองคนของแกไม่ชอบเข้าบ้านค่ำที่ไหนนอนที่นั่น...

                น้าสมศรีคิดจะย้ายออกจากยายนางหลายครั้งแต่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน   เพราะที่ดินสักแปลงเดียวยายนางก็ยังไม่แบ่งให้   แกก็เลยตัดสินใจกับสามีไปปลุกกระต๊อบเล็กๆ  อยู่ปลายนา กับลูกๆ ตามลำพัง  แกเคยบอกผมว่า “ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ ขอเพียงน้าได้อยู่กับลูกๆ อย่างสบายใจ  ไม่ต้องมาทนอยู่ในนรกบนดินอย่างนี้”

                บุญชูเข้าใจคำพูดของน้าสมศรีได้ดี  เพราะถ้าเป็นเขาเองก็คงต้องทำอย่างนั้นเช่นกัน

                สถานการณ์ในหมู่บ้านเริ่มร้ายแรงทางด้านจิตใจขึ้นทุกวัน  บางวันมีเสียงร้องครวญครางของผู้หญิงด้วยความเจ็บทรมาน

                “ เอามันให้ตาย  มันไม่เชื่อฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์  มันกล้าจะถอดใจหนี  มีใครหน้าไหนกล้าจะลองดีอีกไหม...   พวกมึงก้มหน้าทำไม ”  เสียงขู่ตะคอกขยาดขยั้นของหญิงราวสี่สิบปีแหลมปี๊ดผ่ากลางทรวงผู้รับฟัง

               

                                    ................................................................................................................                                   

 

                ตะวันขยับแสงทองคลี่กลีบเมฆ  ฝ่าหมอกสลัวยิ้มรับทุ่งข้าวในเช้าวันใหม่  อากาศเย็นสบายกิ่งไม้เอนไหวตามสายลมเช่นเคย  เป็นเสมือนสัญญาณบอกการหมุนเปลี่ยนเวียนไปในแต่ละวัน  อย่างไม่หยุดยั้ง

                ยายแก่สายตาเหม่อลอยในชุดสีขาวที่เก้าอี้หน้าบ้าน  นั่งกุมโทรศัพท์พยามจะติดต่ออะไรบางอย่าง

                “ ยายๆ ทำอะไร ? ผมช่วยไหมครับ ”  บุญชูร้องถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรหลังจากที่เขากลับมาจากวัด

                “ ไม่มีอะไรหรอกหนู  ขอบใจมากนะ ... ท่าทางเจ้าเป็นคนดีมีน้ำใจนะ”   ก่อนที่ยายจะหยุดเสียงหันไปงุมงำกับโทรศัพท์ของแกต่อไป

                บุญชูถอนหายใจ...   ก่อนตัดสินใจครู่หนึ่ง  แล้วถามว่า

                บุญชู : “ ยายคิดถึงบ้านไหมครับ ”  น้ำเสียงละเอียดอ่อน  ทำให้ยายนิ่งงันไปครู่ใหญ่  บุญชูไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า   เขาโยนคำถามต่อไปทันที

                บุญชู : “ ยายมาจากจังหวัดอะไรครับ ”  ด้วยความอยากรู้  เขาลืมคิดถึงความรู้สึกยายแก่อย่างสนิทใจ

                บุญชู : “ ผมขอโทษครับยาย  ที่ทำให้ยายไม่สบายใจ ”  เขากล่าวด้วยความจริงใจที่หลงผิดถามยายมากเกินไป

                ยายนิ่งเงียบมากกว่าเงียบ  ได้ยินกระทั่งลมพัดใบไม้ไหวติง  ความเย็นเฉียบเสียบทุกอณูขุมขน  ก่อนยายจะวางโทรศัพท์ไว้บนตัก  ค่อยๆหันมาที่บุญชูอีกครั้ง   น้ำตาที่คลอเบ้าไหลเป็นทางกับร่องเหี่ยวย่นแห่งประสบการณ์อย่างไม่รู้ตัว

                ยาย : คิดถึงสิไอ้หนู  คิดถึงมากด้วย  ป่านนี้ลูกหลานจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้...   บ้านยายน่ะ อยู่ที่โคราช  ที่ยายมาที่นี่หวังมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในทางธรรม... แต่... ฮือ ... ฮือ... ”  ยายร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมเสียงพูดสั่นๆ เป็นทอดๆ

                บุญชู : “ ทำไมยายไม่กลับบ้านหละครับ ”  บุญชูถามด้วยอาการเป็นห่วง

                ยาย : “ ยายกลับยังไม่ได้  ท่านยังไม่ให้กลับ  หญิงร่างทรงบอกว่ายังกลับไม่ได้จนกว่านายสถานธรรมธนาคารบุญจะกลับมาอีกครั้ง ”  ดวงตาสีแดงเผือดยังไม่สร่างน้ำตาคงเหม่อลอยอย่างไร้ความหวัง...

                บุญชูถอนหายใจเฮือกใหญ่  ละสายตาไปจับจ้องยังต้นมะยมหน้าบ้านแทน   ก่อนหลบมุมปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาด้วยความเวทนา   เขาได้แต่รับฟัง  ปลอบใจ และให้ความหวังกับอีกหลายคนในสถานธรรมที่เป็นเช่นนี้  เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าคงทำอะไรไม่ได้มากเกินกว่านี้แน่นอน

                กาลเวลาดำเนินไปเรื่อยๆ...  เรื่อยๆ...  สิ้นสุดลงในแต่ละวันและรอเช้าวันใหม่อย่างไม่สุดสิ้น...

               

 

                                                                                                                                    20  กุมภาพันธ์  2552

หมายเลขบันทึก: 348643เขียนเมื่อ 31 มีนาคม 2010 23:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2012 22:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

แวะมาดูเฉยๆ แต่ยังไม่ได้อ่าน มันหลายขี้เกียจอ่านเดี๋ยวกลับมาอ่านเด้อ มีความสุขมากๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท