“ เรื่องสั้นเรื่องนี้อิงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมเล็กๆ ที่น่ากลัวและคนหลายคนอาจไม่เคยสัมผัส ” แต่เราอยากให้สังคมได้รับรู้และช่วยกันแก้ไข
กฎบาปคราบนักบุญ
เรื่องโดย สุกรณ์ บงไทสาร นามปากกา
_____________________________________________________________________________
แสงแดดอัสดงแต่งแต้มขลิบขอบฟ้าฉาบทาเป็นเส้นทอง ส่องประกายแสงอ่อนๆลูบไล้แนวพฤกษาที่ยืนระย้าเล่นลมไกวอย่างน่าภิรมย์ หมู่วิหคโผผินบินสู่รังเสียงเจือยแจ้วบอกแจ้งจวนเวลาใกล้สายัณห์ แว่วเสียงหมากกะโหล่งจากฝูงวัวควายถูกไล่ต้อนสู่คอก ดังประสานสอดรับกับเสียงกระตุกเท้าเป็นจังหวะคล้ายดนตรีบรรเลงเพลงชีวิตที่ดำเนินมาสิ้นสุดอีกครั้งในแต่ละวัน
ร้านข้าวแกงยายสายท้ายซอยยังทำหน้าที่เป็นแหล่งเสบียงอาหารให้ทุกผู้ทุกคนเลือกซื้อเลือกหาตามใจชอบ มันเสมือนแหล่งอาหารจำเป็นของคนทำงาน มนุษย์เงินเดือน และเป็นสถานที่พบปะสนทนาของชาวบ้านในตอนหัวค่ำนั่นเอง
ไผ่ : “เฮ้ย!” สวัสดี “ บุญชู”
เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้นมา ทำให้บุญชูหันขวับฉับพลันตามแรงเสียงนั้นโดยไม่ตั้งตัว
ไผ่ : “นายสบายดีหรือเปล่า ดูท่าทางเหมือนจะไว้หุ่นนะหมู่นี้ ตอนเรียนด้วยกันนายท้วมไม่เบานี่” เสียงเอ่ยทักด้วยความตื่นเต้นดีใจ น้ำเสียงแกมหยอกดังต่อเนื่อง
ไผ่เป็นเพื่อนเก่าเรียนร่วมชั้นกับบุญชูตั้งแต่สมัยประถมฯ – มัธยมฯ หลังจากที่เขาทั้งสองจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต่างคนก็ต่างไปตามทางของตน โดยไม่ได้แยแสเวลาและคืนวันที่ผ่านพ้น ทราบเพียงว่า บุญชูไม่ได้เรียนต่อเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่ง เขาจึงช่วยพ่อแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน ส่วนไผ่โชคดีหน่อยเข้าไปทำงานกับน้าที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่แยกจากกัน จนกระทั่งวันนี้ไผ่มีโอกาสกลับบ้านนอกอีกครั้ง
บุญชู : “อ้าว! สวัสดีเช่นกันไผ่” บุญชูยิ้มด้วยความเอิบอิ่ม พร้อมพูดต่อว่า “ จากกันหลายปีดูนายล่ำซำขึ้นนะ ส่วนเราก็ไปเรื่อยๆไม่แน่นอนอย่างนี้แหละ ช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินแถวๆบ้านเรา งานก็น้อยเงินก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนอยู่กรุงเทพฯ หล่ะนะ ก็เลยดูผอมๆหน่อย”
ไผ่ : “ เอ้อ” บุญชู ! เราเดินผ่านมาเมื่อกี้ เห็นที่บ้านของยายนางเขาทำอะไรกันเสียงเอะอะโวยวายกันใหญ่เลย แถมทุกคนใส่ชุดสีขาวด้วยนะ” ไผ่พูดด้วยอาการตื่นเต้นและสีหน้าท่าทีสงสัย
บุญชูนิ่งอึ้งกับคำถามที่ไผ่โยนให้เข้าเต็มอก สะท้อนในอกลึกๆจากเรื่องสนุกกลับกลายทำให้สีหน้าบุญชูขมึงตึงเล็กน้อย ก่อนตอบว่า...
บุญชู : “ คงไม่มีอะไรหรอก เขาคงกำลังสวดมนต์อะไรกันสักอย่างนี่แหละ” บุญชูตอบแบบเปรยๆด้วยน้ำเสียงกลางๆ ก่อนเขาจะรับถุงกับข้าวที่สั่งไว้กับยายสายและบอกลาไผ่เดินกลับบ้านด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสู้จะดีนัก
บุญชูกลับถึงบ้าน วางถุงกับข้าวไว้ในครัวก่อนเดินออกมานั่งนอกชานเรือนครุ่นคิดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นที่บ้านของยาย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านก็ว่าได้ที่ชาวบ้านป้อนคำถามเช่นไผ่ ให้บุญชูตอบไม่เว้นวัน
ท้องฟ้าเปลี่ยนจากพลบค่ำกลายเป็นมืดสลัว แสงไฟเริ่มปรากฏชัดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทุกครัวเรือน ท้าทายแสงจันทร์ที่พราวเด่นอยู่บนนภาเรียงรายรายล้อมไปด้วยดาราน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน สายลมความคิดพัดกระตุ้นห้วงคำนึงของบุญชูจนสะท้านไปทั้งกาย เขาสับสนในความคิดและความรู้สึกจากการพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นแต่ละวัน
และนี่ก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่บุญชูเสร็จสิ้นภารกิจมีโอกาสมานั่งเล่นนอกชานเรือนเช่นเคย เสียงสวดพึมพำภาษาแปลกๆ ลอยมากับสายลมเป็นจังหวะถนัดถนี่จากบ้านหลังข้างๆ บุญชูเหงี่ยหูฟังพอรู้ว่าช่วงแรกๆนั่นมันคือ ภาษาจีน และช่วงหลังๆ มันคือภาษาบาลีสันสกฤต เหมือนเขาเคยสวดก่อนนอนบ่อยๆนั่นเอง
“ อีโควโสว ” เสียงลูกคู่รับผู้นำสวด พร้อมโน้มกายลงบนพื้นแสดงความเคารพขึ้นลงขึ้นลงเป็นสิบๆครั้ง บุญชูเคยแอบด้อมๆมองๆ ลอดหน้าต่างกระจกเข้าไปยังเสียงนั้น เห็นหมู่คนแก่ คนหนุ่ม- สาว ทั้งชายและหญิงมากมาย ทำปฏิกิริยาคล้ายดังแมงมุมขยุ้มขย่ำอย่างไม่ขาดสาย พอละสายตาขึ้นสู่เบื้องบนผนังห้องจึงทราบว่ามีรูป “พระแม่กวนอิม” และ “ ชายแก่สวมชุดจีนสีดำ” ติดอยู่เป็นรูปเคารพ แต่อย่างไรก็ตามความคิดบุญชูในตอนนั้นก็ยังไม่แปลกใจอะไรมาก เพราะใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ไม่สำคัญขอให้ใจยึดมั่นในความดีและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็เป็นพอ เขาจึงเลิกความสนใจไปชั่วระยะหนึ่ง...
หลายวันต่อมา... บุญชูสังเกตเห็นรถตู้ รถเก๋ง รถปิคอัพ วิ่งเข้าออกทุกสัปดาห์หมุนเปลี่ยนเวียนกันไป รถปิคอัพสีบรอนและสีฟ้า วิ่งต่อท้ายกันเข้ามาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังเดิมอีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา ท้ายกระบะบรรทุกคนที่แต่งกายสีขาวเต็มคันรถเพื่อมารับฟังธรรมะ ซึ่งเขาเหล่านั้นมาจากหลายหมู่บ้านและต่างจังหวัด หวังมารับธรรมที่ “ สถานธรรม” แห่งนี้
ปึ๊ก!! เสียงประตูรถยนต์ถูกเปิดออก บุคคลที่นั่งอยู่ข้างหน้าก้าวขาแตะพื้นดินลงจากรถอย่างสุภาพ แต่ละคนดูมีสง่าราศี สะอาดสะอ้าน ใส่สูท ผูกไทน์ สวมรองเท้าคัชชูขัดมันสะท้อนกับแสงนีออนจนเห็นเงา
“ ถึงแล้วครับ ถึงแล้วครับ ให้ทุกคนเตรียมตัวลงจากรถไปล้างเท้าที่หน้าบ้าน แล้วเข้าไปภายในเลยนะครับ” เสียงพูดอย่างสุภาพ สยบทุกความเคลื่อนไหว ทำให้อะไรๆง่ายขึ้น
ทุกคนเสร็จสรรพเหมือนถูกกำหนดไว้ตามกฎเกณฑ์ การบรรยายธรรมเริ่มขึ้นอย่างปรกติ เรียบง่าย... บุญชูแอบฟังอยู่ชานเรือนพอจับความได้ว่า “ เป็นการกล่าวถึงความศรัทธาและอานิสงค์ในการเชื่อมั่นในพระองค์ ปิดท้ายด้วยการกล่าวถึงผู้มีบุญคุณ” บุญชูนั่งฟังอย่างเพลิดเพลินก่อนเขาจะกลับไปนอน เก็บแรงไว้ทำงานในวันรุ่งขึ้น
.........................................................................
กลุ่มคนชุดขาวใช้ชีวิตในบ้านหลังนั้นเช่นวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน โดยไม่มีใครที่จะคิดกลับบ้านของตนเองเลยสักคน แม้บ้านของพวกเขาเหล่านั้นจะอยู่เพียงไม่กี่คืบก็ตาม มันคือสถานธรรมอันวิเศษวิโสในสายตาพวกเขา ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำต่อว่าของใคร
ยายนางแกเป็นยายของบุญชูเอง เป็นทั้งหัวหน้าสถานธรรมและเจ้าของบ้าน แต่ก่อนแกมีสามีแต่ไม่มีลูกด้วยกัน แกจึงไปขอลูกพี่สาวตนมาเลี้ยง เผื่อว่าวันหนึ่งแกแก่ตัวไปจะมีคนเลี้ยงแกบ้าง และต่อมาไม่นานสามีของแกก็ต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน เหลือเพียงยายนางกับลูกเลี้ยง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของบุญชูอาศัยอยู่ด้วยกัน ดูแลกันและกันตลอดมา
กระทั่งน้าสมศรีมีครอบครัว แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันกับยายนางเช่นเคยไม่เคยคิดจะโยกย้ายสถานที่ไปไหน เพียงหวังจะเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง นับวันยายนางเริ่มเปลี่ยนไปชอบเล่นหวย บ้าพนันไม่สนใจเรื่องครอบครัวแล้วแต่จะกินอยู่อย่างไร แต่บุญชูเคยได้ยินชาวบ้านเล่าว่า ยายนางแกเป็นคนมีเงินมากในบัญชีเป็นแสนๆ เพราะแกเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว และวันหนึ่งด้วยอะไรไม่ทราบที่ชักโยงให้แกพบกับคนชุดขาว และผลักดันให้แกเป็นเจ้าแม่สถานธรรมโดยใช้บ้านตนเป็นสถานที่ประกอบการ
“ คุณแม่ครับ วันนี้ผมมีบุญมาบอกครับ คือทางเราได้จัดตั้งธนาคารบุญขึ้น ใครฝากมากก็ได้บุญมาก ใครทำน้อยก็ค่อยๆ สะสมบารมีไปนะครับ มาก – น้อย เราไม่ว่ากัน” คำเชิญชวนอย่างสุภาพของนายชุดขาวผูกไทน์ กำลังทำหน้าที่กวัดแกว่งอรรถรสสุนทรวาจาที่น่าเชื่อถือให้ลูกหมู่ชุดขาวกระทำตาม อย่างไม่ระแคะระคาย
นานวัน... ธนาคารบุญยิ่งเพิ่มจำนวนทรัพย์มากขึ้น และจำนวนคนมากหลาย บ้างมีวัวขายวัว มีความขายควาย เงินที่หาได้ครั้งเก่าก่อนเคยทำงานนำมาฝากไว้ทั้งหมด เพื่อหวังบุญกุศลให้ไปเกิดในโลกพระศรีอาริยเมตไตรยในภายภพหน้า ดังคำพรรณนาความสุขสบายของนายธนาคารบุญกล่าวถึง
เสียงงอแงแต่ละเช้าก่อนไปโรงเรียน พร้อมกับเสียงไม้เรียวขนาบก้นเริ่มได้ยินบ่อยครั้งขึ้น จากแต่ก่อนแม้เสียงตะโกนด่าทอ เอะอะโวยวายให้ลูกก็ไม่มี มีแต่เสียงหยอกล้ออย่างอบอุ่นของครอบครัวตอนหัวค่ำและตื่นนอน
“ มึงจะเอาไปทำอะไรมากมาย เฮอะ!! กูให้แค่นี้ก็ไม่พอ... ก็อีแค่ไปโรงเรียนข้าวเขาก็มีให้กิน มึงจะเอาอะไรอีก... ” เสียงดุแกมตวาดจากบ้านในซอยลึกทำให้คนในละแวกนั้นตกใจตามๆ กัน
“ ก็แม่ครับ ผมต้องใช้เงินนะครับแม่... อาจารย์ให้ทำรายงานส่ง ผมต้องเข้าเล่มนะแม่ ค่าขนมก็ยังไม่พอ ห้าบาทเอง ฮือ... ฮือ...” เสียงอธิบายปนเสียงสะอื้น จากเด็กน้อยเป็นทอดๆ
“ กูให้มึงเพิ่มอีกแค่ห้าบาท เป็นสิบบาทคงพอนะ... เกินนี้กูไม่มีให้ รายงานคงจะไม่ทุกวันหรอก” ชั่วหายใจเพียงฮืดหนึ่ง กับท่าทางอันขมึงตึง... ก่อนน้ำเสียงอันดุดันจะผงาดต่อ...
“ กูจะเอาเงินไปฝากธนาคารบุญ สร้างบุญกุศลให้กับครอบครัว มึงเข้าใจไหมหละ กูว่าเรียนไปก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเล้ย...” หางเสียงของผู้เป็นแม่สะบัดสูงแสดงอาการไม่แยแสกับสิ่งที่กล่าวใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนเดินเชิดหน้าเข้าบ้านไปโดยไม่ไยดีกับเหตุการณ์ ปล่อยลูกน้อยยืนร้องไห้สะพายกระเป๋าข้างจักรยานคั่นเก่าซอมซ่อ เตรียมเดินทางไปโรงเรียนอย่างลำพัง
เสียงสวดมนต์เริ่มเหือดหาย รถปิคอัพสีฟ้าเริ่มไกลห่างสัปดาห์ละครั้งก็ยังไม่เห็นแม้เงา ปล่อยให้ผู้เฒ่าสวดพึมพำ ทำตามกฎที่ตั้งไว้อย่างไม่ไยดี นานๆ หรือเป็นเดือนจะมาครั้ง เพื่ออบรมคนที่เหลือให้ยึดมั่นต่อไป คนใดทนไม่ไหวกับการฝึกปฏิบัติก็ออกไป
น้าสมศรีเคยเล่าให้บุญชูฟังว่า... ทุกวันพระวันศีล จะมีร่างทรงหนึ่งคนเป็นผู้หญิงทำเป็นเจ้าเข้าทรงร้องขู่เข็ญบังคับ กระทำต่างๆ นาๆ เพื่อให้กลุ่มคนสีขาวทำตาม ใครคิดคดไม่ซื่อสัตย์ก็จะได้รับโทษตามการกระทำนั้น บ้างเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด บ้างเสียงเอะอะโวยวาย จนคนบ้านใกล้เรือนเคียงนอนไม่หลับ ถึงกับตะโกนเข้ามาด่า
“ ทำอะไรกันเฮ้ย ! คนจะหลับจะนอน ไม่มีงานการทำหรือไรว่ะ ตะโกนด่ากันโหวกเหวกโวยวายอยู่ได้ ” ชาวบ้านเรือนชิดติดกันตะโกนใส่ในบางวัน
ที่ร้านข้าวแกงยายสายเริ่มเป็นที่จับกลุ่มซุบซิบนินทา กลุ่มคนเสื้อขาวอย่างโจษขาน
“ การงานมันไม่พากันทำนะ นั่งสวดมนต์เช้าเย็น แล้วก็ทำอะไรเอะอะหนวกหู” ต้นเสียงจากชาวบ้านคนหนึ่งเริ่มนำร่องเรื่อราว ขณะต่อคิวซื้ออาหาร
“ จะให้พวกมันทำอะไรหละ , ก็ขายนา วัว ควาย สะสมบุญไว้กินชาติหน้าแล้วนี่ ลูกจะไปโรงเรียนมันยังร้องด่ากันทุกวันเล้ย เฮอะๆ ” เสียงหนึ่งสอดแทรกเสริมความคิด เสมือนดั่งกองแต๊กที่กำลังบรรเลงขณะสวนสนาม
“ หนักกว่านั้นนะ ข้าได้ยินมาว่า มันไม่ให้ใครใส่บาตรพระหรือไว้พระรูปใดทั้งสิ้น เพราะว่ามันถือว่า มันปฏิบัติเคร่งกว่าพระไง” น้ำเสียงสลับขึ้นลงดังเกรียวกราวของชาวบ้าน ทำให้สถานการณ์เย็นวันนั้นที่ร้านยายสายเมามันมาก
บุญชูเฝ้าคอยดูเหตุการณ์ทุกวัน เสียงด่าทอของชาวบ้านยังก้องเต็มสองหูเป็นระยะๆ ที่เขาไปซื้ออาหารร้านยายสาย จะไม่สนใจก็ไม่ได้นั่นมันเป็นการนินทายายของเขาเอง บุญชูพยายามหาทางแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นแต่คงจะยาก เพราะดูแต่ละคนในสถานธรรมหลงศรัทธาเข้าอย่างเต็มที่ เรื่องของความศรัทธานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยซิ ที่จะขุดให้คนกลับมาเป็นดังเคย มองดูน้าสมศรีนับวันยิ่งเหม่อลอย สามีไม่อยู่ด้วยเพราะเบื่อสถานการณ์ในบ้านที่เป็นอยู่ ลูกสองคนของแกไม่ชอบเข้าบ้านค่ำที่ไหนนอนที่นั่น...
น้าสมศรีคิดจะย้ายออกจากยายนางหลายครั้งแต่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะที่ดินสักแปลงเดียวยายนางก็ยังไม่แบ่งให้ แกก็เลยตัดสินใจกับสามีไปปลุกกระต๊อบเล็กๆ อยู่ปลายนา กับลูกๆ ตามลำพัง แกเคยบอกผมว่า “ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ ขอเพียงน้าได้อยู่กับลูกๆ อย่างสบายใจ ไม่ต้องมาทนอยู่ในนรกบนดินอย่างนี้”
บุญชูเข้าใจคำพูดของน้าสมศรีได้ดี เพราะถ้าเป็นเขาเองก็คงต้องทำอย่างนั้นเช่นกัน
สถานการณ์ในหมู่บ้านเริ่มร้ายแรงทางด้านจิตใจขึ้นทุกวัน บางวันมีเสียงร้องครวญครางของผู้หญิงด้วยความเจ็บทรมาน
“ เอามันให้ตาย มันไม่เชื่อฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันกล้าจะถอดใจหนี มีใครหน้าไหนกล้าจะลองดีอีกไหม... พวกมึงก้มหน้าทำไม ” เสียงขู่ตะคอกขยาดขยั้นของหญิงราวสี่สิบปีแหลมปี๊ดผ่ากลางทรวงผู้รับฟัง
................................................................................................................
ตะวันขยับแสงทองคลี่กลีบเมฆ ฝ่าหมอกสลัวยิ้มรับทุ่งข้าวในเช้าวันใหม่ อากาศเย็นสบายกิ่งไม้เอนไหวตามสายลมเช่นเคย เป็นเสมือนสัญญาณบอกการหมุนเปลี่ยนเวียนไปในแต่ละวัน อย่างไม่หยุดยั้ง
ยายแก่สายตาเหม่อลอยในชุดสีขาวที่เก้าอี้หน้าบ้าน นั่งกุมโทรศัพท์พยามจะติดต่ออะไรบางอย่าง
“ ยายๆ ทำอะไร ? ผมช่วยไหมครับ ” บุญชูร้องถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรหลังจากที่เขากลับมาจากวัด
“ ไม่มีอะไรหรอกหนู ขอบใจมากนะ ... ท่าทางเจ้าเป็นคนดีมีน้ำใจนะ” ก่อนที่ยายจะหยุดเสียงหันไปงุมงำกับโทรศัพท์ของแกต่อไป
บุญชูถอนหายใจ... ก่อนตัดสินใจครู่หนึ่ง แล้วถามว่า
บุญชู : “ ยายคิดถึงบ้านไหมครับ ” น้ำเสียงละเอียดอ่อน ทำให้ยายนิ่งงันไปครู่ใหญ่ บุญชูไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาโยนคำถามต่อไปทันที
บุญชู : “ ยายมาจากจังหวัดอะไรครับ ” ด้วยความอยากรู้ เขาลืมคิดถึงความรู้สึกยายแก่อย่างสนิทใจ
บุญชู : “ ผมขอโทษครับยาย ที่ทำให้ยายไม่สบายใจ ” เขากล่าวด้วยความจริงใจที่หลงผิดถามยายมากเกินไป
ยายนิ่งเงียบมากกว่าเงียบ ได้ยินกระทั่งลมพัดใบไม้ไหวติง ความเย็นเฉียบเสียบทุกอณูขุมขน ก่อนยายจะวางโทรศัพท์ไว้บนตัก ค่อยๆหันมาที่บุญชูอีกครั้ง น้ำตาที่คลอเบ้าไหลเป็นทางกับร่องเหี่ยวย่นแห่งประสบการณ์อย่างไม่รู้ตัว
ยาย : คิดถึงสิไอ้หนู คิดถึงมากด้วย ป่านนี้ลูกหลานจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้... บ้านยายน่ะ อยู่ที่โคราช ที่ยายมาที่นี่หวังมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในทางธรรม... แต่... ฮือ ... ฮือ... ” ยายร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมเสียงพูดสั่นๆ เป็นทอดๆ
บุญชู : “ ทำไมยายไม่กลับบ้านหละครับ ” บุญชูถามด้วยอาการเป็นห่วง
ยาย : “ ยายกลับยังไม่ได้ ท่านยังไม่ให้กลับ หญิงร่างทรงบอกว่ายังกลับไม่ได้จนกว่านายสถานธรรมธนาคารบุญจะกลับมาอีกครั้ง ” ดวงตาสีแดงเผือดยังไม่สร่างน้ำตาคงเหม่อลอยอย่างไร้ความหวัง...
บุญชูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ละสายตาไปจับจ้องยังต้นมะยมหน้าบ้านแทน ก่อนหลบมุมปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาด้วยความเวทนา เขาได้แต่รับฟัง ปลอบใจ และให้ความหวังกับอีกหลายคนในสถานธรรมที่เป็นเช่นนี้ เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าคงทำอะไรไม่ได้มากเกินกว่านี้แน่นอน
กาลเวลาดำเนินไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... สิ้นสุดลงในแต่ละวันและรอเช้าวันใหม่อย่างไม่สุดสิ้น...
20 กุมภาพันธ์ 2552
แวะมาดูเฉยๆ แต่ยังไม่ได้อ่าน มันหลายขี้เกียจอ่านเดี๋ยวกลับมาอ่านเด้อ มีความสุขมากๆครับ
ดีมากลูกศิษย์ผม