เล็งเพิ่มคาบเรียน "จิตสาธารณะ"
"ชินภัทร" เดินหน้าสนองนโยบาย "จุรินทร์" เต็มที่ เล็งกำหนดคาบกิจกรรม "จิตสาธารณะ" สอดแทรกในวิชาสังคม และจัดสอบคิดเป็นคะแนนมีผลต่อการเข้าเรียนต่อ ม.1 และ ม.4
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าที่ประชุมได้หารือถึงผลการศึกษาการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณ ประโยชน์ โดยได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย เพื่อให้เห็นความสำคัญของการจัดการศึกษา โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างจิตสาธารณะ ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พบว่า ในหลายประเทศได้กำหนดในเรื่องของการส่งเสริมค่านิยมในการรักชาติไว้ในหลัก สูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และให้ความสำคัญกับการเรียนในวิชาหน้าที่พลเมือง โดยเน้นการจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เช่น ประเทศญี่ปุ่นจัดให้มีกิจกรรมเรียนรู้โดยการบริการสังคม เป็นต้น นอกจากนั้นมีการกำหนดสัดส่วนกิจกรรมดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน อาทิ ในประเทศเกาหลีใต้กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมระดับประถมศึกษา จำนวน 10 ชม.ต่อปี ระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย จำนวน 20 ชม.ต่อปี สอดคล้องกับแนวทางของ รมว.ศธ.ที่ให้มีการทบทวนการเรียนการสอนในหลักสูตร และลดความซ้ำซ้อนในแต่ละชั้นปีลงไปกว่าร้อยละ 30 ดังนั้น สพฐ.จะใช้เวลาดังกล่าวไปจัดกิจกรรมส่งเสริมในเรื่องจิตสำนึกสาธารณะให้มาก ขึ้น
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นยังมีข้อคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบูรณาการกลุ่มสาระต่างๆ โดยเฉพาะช่วงชั้นที่ 1 ที่มีการสอนทั้งหมด 8 กลุ่มสาระนั้น พบว่าในประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน สามารถสอนวิชาสังคมศึกษาโดยบูรณาการวิชาอื่นๆ อาทิ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งคิดว่าในส่วนนี้ สพฐ.จะมาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยอาจต้องเพิ่มความเข้มข้น ในการเรียนการสอนวิชาสังคมให้มากขึ้น
"สพฐ.จะมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนที่ทำให้วิชาสังคมศึกษาเป็นที่น่าสนใจ และผู้ปกครองรับรู้และส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม รวมทั้งมีการเสนอว่าในอนาคตอาจมีการจัดทดสอบและให้คะแนนการมีส่วนร่วมใน กิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เพื่อให้มีผลต่อการพิจารณาศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น อาทิ ม.1 ม.4 เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้นักเรียนมีแรงจูงใจอยากเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น" เลขาฯ กพฐ. กล่าว.
แหล่งที่มา : ไทยโพสต์
อ่านข่าวนี้คิดอยู่นานว่าจะดีใจหรือเสียใจดีกับการที่ผู้บริหารระดับประเทศมีแนวคิดอย่างนี้ กำหนดคาบกิจกรรม "จิตสาธารณะ" สอดแทรกในวิชาสังคม และจัดสอบคิดเป็นคะแนนมีผลต่อการเข้าเรียนต่อ ม.1 และ ม.4
เค้าเข้าใจคำว่าจิตสาธารณะกันไหมเนี่ย เอาเถอะมองในแง่ดีอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วหลักสูตรใหม่(หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551) ก็ได้กำหนดไว้ในกิืจกรรมพัฒนาผู้เรียนอยู่แล้วทุกระดับชั้น ให้นักเรียนจะต้องทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์็ เช่น ระดับประถมศึกษาต้องทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์อย่างน้อย 10 ชั่วโมง/ปี เป็นต้น
การเพิ่มชั่วโมงให้มากขึ้นคงไม่ใช่้คำตอบที่ถูกต้องนักของการสร้างจิตสาธารณะ ควรจะเป็นการนำจิตสาธารณะไปบูรณาการในการเรียนการสอนสาระต่าง ๆ น่าจะถูกต้องเหมาะสมกว่า การสร้างจิตสาธารณะสามารถบูรณาการสอนสอดแทรกได้ในหลายสาระไม่เฉพาะแต่สาระสังคมศึกษาเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดครูและผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ทั้งหลายควรปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็ก ๆ เพราะ "ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน" ใช่ไหมค่ะท่าน
อ้อแล้วไอ้หลักสูตรเนี่ยของใหม่ยังไม่ทันจะใช้ จะเปลี่ยนใหม่อีกแล้วเหรอค่ะ แล้วที่จะเปลี่ยนเนี่ยมันคุ้นๆ ว่าเหมือนของเก่าที่ทิ้งไปนะ เฮ้อการศึกษาไทย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ที่ใช้ในปีการศึกษา 2553 กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ
1.รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2.ซื่อสัตย์สุจริต
3.มีวินัย
4.ใฝ่เรียนรู้
5.อยู่อย่างพอเพียง
6.มุ่งมั่นในการทำงาน
7.รักความเป็นไทย
8.มีจิตสาธารณะ
กำหนดตายตัวเลยครับ แต่เหมือนคำขวัญวันเด็กจังเลย
เซ็ง..นักวิชาการเมืองไทย..ว่างกันมากเลยหาเรื่องให้ครูทำอะไรก็ไม่รู้ งานสอนนักสือเด็กเป็นงานรอง....เบื่อจริงๆๆ
มีจิตอาสา กับมีคุณธรรมจริยธรรมนี่ มันต่างกันอย่างไรคะ