การบริหารโครงการวิจัยสถาบัน
เพื่อความสำเร็จของโครงการวิจัยสถาบันให้สามารถเสนอผลงานวิจัยซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลข้อสนเทศ รูปแบบจำลอง หรือทางเลือกนโยบายให้แก่ผู้บริหารได้ทันการ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน ดังจะนำเสนอต่อไปนี้ (ศิรินาถ ทัพแสง, 2535)
ขั้นที่ 1 การกำหนดผู้รับผิดชอบโครงการ เมื่อได้สร้างหัวข้อการวิจัยสถาบันขึ้นแล้ว นักวิจัยสถาบันจะต้องพิจารณาตัวเองว่ามีความชำนาญในเรื่องที่จะทำนั้นหรือไม่ เพียงใดประมาณความสามารถของตนเองว่าสามารถจะทำการศึกษาวิจัยเรื่องนั้นได้หรือไม่ และหากทำด้วยตนเองผลของการศึกษานั้นได้รับการยอมรับนำไปใช้มากน้อยเพียงใด ในกรณีที่พิจารณาเห็นว่าตนเองไม่ชำนาญพอหรือไม่เหมาะสมก็ต้องเชิญผู้รู้ทางด้านนั้นๆ มาเป็นผู้ดำเนินโครงการหลัก โดยตัวเองเป็นผู้ประสานงาน ในบางกรณีที่จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบของคณะกรรมการ นักวิจัยสถาบันจะต้องเป็นฝ่ายประสานงานและเลขานุการ
ขันที่ 2 การกำหนดรูปแบบการวิจัย (Research Design) เมื่อสามารถกำหนดผู้รับผิดชอบโครงการได้แล้ว ผู้รับผิดชอบโครงการต้องมีการออกแบบการวิจัย หรือกำหนดเค้าโครงของเรื่องที่จะใช้เป็นกรอบในการศึกษา เนื้อหาสาระที่จะใช้ในการศึกษา ตัวแปรต่างๆ และเทคนิควิธีที่จะได้ข้อมูลมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการวิจัย
ขันที่ 3 การจัดทำข้อเสนอโครงการวิจัย (Research proposal) เมื่อกรอบในการวิจัย ชัดเจน สิ่งต่อไปคือ งบประมาณในการสนับสนุนงานวิจัย บางโครงการอาจต้องใช้งบประมาณพิเศษ แต่บางโครงการอาจใช้งบประมาณรวมกับการดำเนินงานในส่วนของงานประจำได้ ในกรณีที่จะต้องเสนอของบประมาณ ผู้รับผิดชอบโครงการจะต้องทำข้อเสนอโครงการวิจัยที่ชัดเจนประกอบด้วย
1) เหตุผลความจำเป็นในการเลือกหัวข้อที่ศึกษา เป็นการอธิบายให้ผู้อ่านได้ทราบเหตุใดจึงศึกษาเรื่องนี้ ผลจากการศึกษาเรื่องนี้มีคุณค่าแก่สถาบันเพียงใด ผู้อ่านจะได้ประเมินว่าเรื่องนี้สมควรทำหรือไม่ หรือคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
2) วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของการวิจัย เป็นการแสดงให้ทราบว่าเรื่องที่จะศึกษานี้คืออะไร ต้องการศึกษาเพื่อให้ได้คำตอบอะไรบ้าง ซึ่งนอกจากจะแสดงให้ผู้อ่านได้ทราบแล้วยังเป็นผลดีแก่ผู้ทำโครงการที่จะยึดเป็นหลักในการดำเนินการเพื่อให้ได้คำ
3) วิธีดำเนินการวิจัย เมื่อได้กำหนดวัตถุประสงค์แล้ว ผู้รับผิดชอบโครงการ จะต้องกำหนดวิธีดำเนินการศึกษา กลุ่มประชากรเป้าหมาย หรือหน่วยงานเป้าหมาย ข้อมูลที่จะใช้แหล่งและวิธีเก็บข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม ในการกำหนดเทคนิควิธีวิจัยในโครงการวิจัยสถาบันนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดอยู่กับวิธีการเดียว กล่าวคือ บ่อยครั้งที่จะเห็นว่ามีการเลือกใช้เทคนิคทางคอมพิวเตอร์ และสถิติในการจัดกระทำข้อมูล แต่ในบางโอกาสหรือบางโครงการ การเลือกใช้การสำรวจทางไปรษณีย์ การเจาะสัมภาษณ์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย หรือการคุยกันทางโทรศัพท์ หรือแม้แต่การศึกษาจากเอกสารก็เป็นวิธีการที่เหมาะสมและที่ดีที่สุดในการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจ และเป็นเทคนิคที่ทำให้โครงการวิจัยสถาบันนั้นมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี
4) การกำหนดเวลาดำเนินงาน เป็นการกำหนดเวลาโดยประมาณที่จะใช้ในการโครงการวิจัยสถาบัน บางเรื่องที่ผู้บริหารมีประเด็นสั่งการให้ศึกษาผู้บริหารมักจะกำหนดเวลามาด้วย ซึ่งอาจจะเป็น 3 เดือน 6 เดือน แล้วแต่กรณี ซึ่งผู้ดำเนินการจะต้องพยายามรักษาเวลาให้แล้วเสร็จตามกำหนด แต่ถ้าไม่ได้มีกำหนดเวลาไว้ชัดเจน ผู้ดำเนินการจะต้องกำหนดเวลาโดยประมาณไว้ให้เหมาะสมกับความต้องการที่ใช้ข้อมูลหรือเสนอผลงานนั้น เพื่อกิจกรรมอย่างใดย่างหนึ่ง และให้เหมาะสมกับเรื่องที่จะศึกษาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการคาดประมาณเวลาจะช่วยให้ผู้ดำเนินโครงการสามารถประมาณการค่าใช้จ่ายในการวิจัยได้
5) งบประมาณที่จะใช้ในโครงการ เป็นงบประมาณทั้งหมดที่จะใช้เพื่อสนับสนุนให้โครงการแล้วเสร็จ ซึ่งแล้วแต่ว่าสถาบันใดหรือมหาวิทยาลัยใดจะมีข้อบังคับหรือเกณฑ์สนับสนุนไว้อย่างไร แต่โดยทั่วไปอาจจะแบ่งเป็นหมวดใหญ่ 2 หมวด คือ หมวดสมนาคุณ จัดเป็นค่าตอบแทนให้แก่ผู้รับชอบโครงการในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทางด้านนั้นโดยตรง และหมวดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งจะประกอบด้วย รายการค่าจ้างผู้ช่วยวิจัย ซึ่งปกติมักจ้างเงินเดือนตามวุฒิเต็มเวลา รายการค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์รายงานและแบบสอบถาม และรายการค่าใช้จ่ายในการจ้างทำรูปเล่มแบบจำลองกายภาพ เป็นต้น
6) ผู้รับผิดชอบหรือผู้ดำเนินโครงการหลัก เป็นสิ่งที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือของโครงการนอกเหนือไปจากคุณภาพของข้อเสนอโครงการที่ได้เขียนมาอย่างดีแล้ว เพราะคุณสมบัติของผู้รับผิดชอบโครงการจะเป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่จะใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติโครงการ ซึ่งในบางครั้งมหาวิทยาลัยอาจจะพิจารณาให้เปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบได้ เช่น เปลี่ยนจากความรับผิดชอบของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นกลุ่มบุคคลในรูปของคณะกรรมการ
ขั้นที่ 4 ขั้นปฏิบัติการวิจัย ในขั้นปฏิบัติการวิจัยนั้นคงจะไม่แตกต่างไปจากกระบวนการวิจัยทางสังคมศาสตร์ทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่ค่อนข้างเป็นปัญหาที่สุดของขั้นนี้สำหรับโครงการวิจัยสถาบันคือ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะกรณีที่ทำการศึกษากับกลุ่มเป้าหมายในองค์กร หรือหน่วยงานองค์กรประกอบด้วยระบบข้อมูลพื้นฐานกลางที่ไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ ทำให้ต้องมีการเก็บข้อมูลจากตัวบุคคลหรือหน่วยงาน ซึ่งบางครั้งข้อคำถามอาจทำให้เกิดความไม่พึงพอใจ เกิดความรู้สึกว่าถูกประเมิน หรือเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในบางครั้งผู้ให้ข้อมูลอาจรู้สึกว่ารบกวนเวลา ถูกเพิ่มงาน สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เกิดความสมบูรณ์ของการได้ข้อมูลลดน้อยลงไปด้วย
ดังนั้น ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ดำเนินการควรคำนึงถึงมนุษยสัมพันธ์ และการอ่อนน้อมถ่อมตน และมีหนังสือขอความอนุเคราะห์ มิใช่ในรูปของการสั่งการ และในกรณีที่มีผู้ช่วยวิจัยจะต้องมีการอบรมมารยาทในการออกงานภาคสนามเป็นอย่างดี นอกจากนั้นผู้รับผิดชอบโครงการ และผู้ร่วมงานทุกคนควรทำความเข้าใจกับโครงการที่จะศึกษานั้นเป็นอย่างดี เพื่อทำความกระจ่างให้ผู้สงสัยทราบได้ว่าหน่วยงานหรือมหาวิทยาลัยกำลังทำอะไร ผลที่คาดว่าจะได้รับเป็นอย่างไร และควรศึกษาระเบียบ ประกาศ และศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังศึกษาอยู่ให้เข้าใจถ่องแท้ เพื่อความราบรื่นในการสื่อสารในช่วงของการเก็บรวบรวมข้อมูล สิ่งที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือ การทำความเข้าใจกับขอบเขตของข้อมูล(Data Dictionary) และวันสิ้นสุดข้อมูลให้ดีเพื่อที่จะไม่ทำให้ข้อมูลนั้นมาใช้ผิด เป็นผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อนและอาจเกิดข้อโต้แย้งได้
ขั้นที่ 5 ขั้นการเผยแพร่/การนำเสนอ เมื่อผลงานเสร็จสมบูรณ์จะต้องมีการนำเสนอเพื่อให้มีการนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ ผลงานในเชิงวิจัยสถาบันจะแตกต่างไปจากผลงานทางวิชาการทั่วๆ ไปตรงการเผยแพร่ การวิจัยเชิงวิชาการเป็นเรื่องของการค้นพบข้อความรู้ใหม่ จึงมุ่งเผยแพร่โดยทั่วไปให้กว้างขวางที่สุด แต่การวิจัยสถาบันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถาบันและองค์ประกอบของสถาบัน มุ่งนำผลไปใช้เพื่อการตัดสินใจ การวางแผนและการบริหาร การเผยแพร่ของโครงการวิจัยสถาบันจึงต้องคำนึงถึงนโยบาย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในบางโครงการอาจจะมีข้อสนเทศบางอย่างเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือวงวิชาการที่เกี่ยวข้องได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วการเผยแพร่มักจะเป็นลักษณะการนำเนอผู้บริหารหรือคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณา หรือทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องราวนั้นๆ โดยตรงมากกว่าเป็นการรายงานที่เผยแพร่ได้ทั่วไป
ดังนั้น ผู้รับผิดชอบโครงการจึงต้องคำนึงถึงช่องทาง บรรยากาศองค์การ และเทคนิคการนำเสนอ โดยเป้าหมายหลักทำอย่างไรผู้เกี่ยวข้องถึงจะทราบและนำผลการวิจัยไปใช้ และกรณีที่รายงานมีเนื้อหาสาระมากควรอย่างยิ่งที่จะมีบทสรุปสำหรับผู้บริหารประมาณ 2-3 หน้า โดยชี้ประเด็นสำคัญๆ ที่ค้นพบ และแยกข้อเสนอแนะหรือทางเลือกเพื่อพิจารณาสำหรับผู้บริหารได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงอยู่เสมอว่า ผลงานวิจัยสถาบันที่มีคุณค่านั้น คือ ผลงานที่มีการดำเนินการได้ทันเวลา ด้วยเทคนิควิธีที่เชื่อถือได้ และมีผู้นำผลการวิจัยไปใช้ ในการนำเสนอจึงต้องเน้นให้ผู้รับเข้าใจได้ง่าย กระชับ เร้าใจ สื่อให้ผู้รับตระหนักสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อตัดสินใจดำเนินการได้ทันท่วงที
กล่าวโดยสรุป จะเห็นว่า การบริหารโครงการวิจัยสถาบันนั้นเป็นกระบวนการบริหาจัดการที่มีขั้นตอนการดำเนินงานที่เป็นระบบ โดยเริ่มจากขั้นการกำหนดผู้รับผิดชอบ การกำหนดรูปแบบการวิจัย การจัดทำข้อเสนอโครงการวิจัย การปฏิบัติการ และการเผยแพร่
ไม่มีความเห็น