สิ่งที่ครูอยากบอกพวกเธอ


การทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดคือการช่วยประเทศชาติอย่างหนึ่ง

มองสถานการณ์บ้านเมืองไทย แล้วอดวิตกแทนไม่ได้ แต่ก็ดีครับ ฝึกธรรมะ เรื่องทางโลก ไม่มีวันจบและไม่มีอะไรเป็นดังใจเราทุกอย่าง  และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราจะทำอะไรจึงจะดีที่สุด วันนี้นึกๆ ไป มีอะไร อยากบอกลูกศิษย์ครับ ไม่รู้จะเขียนทางไหน ส่งผ่านทางไกลมาทางบล็อกนี้แล้วกันครับ

๑. เคยมีคนถามว่า ผมเป็นสีเหลือง หรือ สีแดง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงตอบ ไปว่าเป็นสีเหลือง แต่ปัจจุบัน คำตอบผมคงเปลี่ยนไป

ผม ไม่ใช่ทั้งสีเหลือง และสีแดง ผมเป็นเพียง คนที่อยากเห็นสองสีอยู่กันอย่างสันติ บนรากฐานของการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 

ผมเห็นด้วยกับคุณปรีชา ศุขโตมร (กดเพื่ออ่าน) ว่า ทั้งสองสีต่างมีรากฐานบนระบบอุปถัมภ์ทั้งคู่ และเราไม่ควรไปกำหนดว่าวิธีคิดของเรามีแค่สองกรอบ ปัจจุบันครูเห็นด้วยว่าครูอยากเป็นสีที่ยอมให้มีอีกสีหนึ่งอยู่ด้วยได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดกลไกตรวจสอบกันเองในสังคม

๒. ผมเห็นว่าการศึกษาเป็นรากฐานของสังคมที่พัฒนา ผมสนับสนุนกับการที่รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์จัดให้มีกองทุนพัฒนาการศึกษา(จำชื่อเต็มไม่ได้) คล้ายๆ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อความยั่งยืน และความเข้มแข็งของระบบการศึกษาไทย ผมหวังว่าเมื่อการศึกษาของไทยดี คนไทยมีคุณภาพ คิดได้อย่างอิสระ และยอมรับความคิดคนอื่นแล้ว สังคมไทยจะพัฒนามากไปกว่านี้

 ๓. เรายังต้องเอาจริงเอาจัง และพัฒนาอีกมากกว่าที่เราจะตามทันต่างชาติ (การเอาจริงเอาจังกับความเครียดเป็นคนละประเด็นกันครับ)

๔. อยู่ทางนี้มีข่าวลือสะพัดว่า พวกเสื้อแดงกำลังจ้องใช้ระเบิดพลีชพ สังหารนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบัน(คุณอภิสิทธิ์) เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายและ ให้นายทักษิณกลับมาในประเทศไทยได้ เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจริง ไม่จริงอย่างไร แต่(ถ้าเป็นจริง)ก็สะท้อนให้เห็นว่ความคิดของที่จะทำว่า คนบางกลุ่มในสังคมไทยเราปัจจุบัน กลายเป็นสังคมที่นิยมความรุนแรงไปแล้ว และ เราจะทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายย่อยยับไป ไม่ยอมเว้นที่ให้ความแตกต่าง และไม่ยอมรับกฎหมาย  เรายอมให้กฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย และ อิทธิพลของคนคนเดียวมาอยู่เหนือ ผลประโยชน์รวมของสังคม วันนี้การศึกษาไทยที่ผ่านมาได้ชี้ให้เห็นวิกฤตแล้ว ว่าระบบการศึกษาของไทยที่ผ่านมาล้มเหลว และขาดมิติทางจริยธรรมที่สอนให้เรารักษาระบบที่ดีของสังคม เพื่อให้เราอยู่รอดในสังคม

 ๕.ครู อยากให้พวกเธอตั้งใจเรียน ไม่มีอะไรมีความสุขมากกว่าชีวิตนักเรียนแล้ว ถ้า เธอคิดว่าเธอลำบาก ให้ลองคิดถึงทหาร ตำรวจผู้น้อย ที่ปฏิบัติงานจริงๆ เสี่ยงชีวิตอยู่ชายแดนทางใต้ วันนี้บ้านเมืองเรามีปัญหาวิกฤต เพราะคนของเราขาดคุณธรรมและจริยธรรม หลายคนอ้างตัวเป็นคนมีคุณธรรม แต่จริงๆ พฤติกรรมไม่ต่างกับโจร ข้าราชการบางคนใส่เกียร์ว่างเพราะกลัวเจอลูกหลงการเมือง บางคน เพราะอยากรอการเปลี่ยนขั่วอำนาจ และรอรับประโยชน์ 

 ๖. เราจำเป็นต้องทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด โดยไม่ทุกข์ เพื่อให้ระบบอยู่ได้ การรักษาระบบที่ดีให้อยู่ได้เท่ากับการรักษาตัวเราเองด้วย เพราะสังคมที่มีระบบที่ดีจะช่วยให้เรามีชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ทุกข์จนเกินไป และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ได้

 ๗. ขณะเดียวกัน การอยู่ในสังคมที่วิกฤต ก็เป็นโอกาสที่จะใช้ความรู้ตัวเองแก้ปัญหาสังคมให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเราก็จะได้ทดสอบใจเราเองด้วย ว่า เราหนักแน่นพอหรือไม่ ทุกข์ใจหรือไม่ ถือเป็นการฝึกใจและปฏิบัติธรรมประการหนึ่ง ในทุกวิกฤตจะเป็นเครื่องบ่มเพาะความสามารถของเรา  ครูใหญ่ของพวกเรา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เคยตรัสไว้ในพระสูตรหนึ่งว่า พระองค์เคยตกนรก และในขณะที่ทรงเสวยชาติในนรกนั่นเอง ท่านเห็นสัตว์นรกอีกตน ถูกนายยมพบาลหน้าตาน่ากลัว และเต็มไปด้วยโทสะ ใช้หอกแทงอย่างสาหัส สัตว์นรกตนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับหน้าของนายยมพบาลที่ไม่ได้มีความสุขเลย ด้วยความเมตตาในจิตใจของพระพุธองค์ ท่านได้หันไปบอกนายยมพบาลว่า ท่านทำร้ายเค้าทำไม ทั้งๆ ที่ท่านทำไปก็ไม่ได้มีความสุข เท่านั้นเอง นายยมพบาลก็หันหอกมา แทงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะเสวยชาติในนรก จนถึงแก่ความตายจากการเป็นสัตว์นรก และมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง อันเป็นโอกาสให้พระพุทธองค์ ได้หันมาทำความเพียรและสั่งสมบุญเรื่อยมาจนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุผลที่นายยมพบาล หันมาแทง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะ พระองค์มีคุณธรรม คือความเอื้อเฟื้อ ความเมตตาแล้ว ท่านจึงหมดกรรมจากการเป็นสัตว์นรก ในทุกปัญหา และทุกวิกฤตนั้นมีบทเรียนสอนเราเสมอ ถ้าเราผ่านมันมาได้ โดยใจไม่ทุกข์ เราก็จะเข้มแข็งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง หนักแน่นขึ้น และดีขึ้น คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิตนั้น ได้เขียนข้อความหนึ่งซึ่งเตือนใจครูเสมอ มีใจความว่า  ธรรมชาติมักจะสอนธรรมะเรา โดยมักจนส่งวิกฤต ความทุกข์ และสิ่งต่างๆ มาทดสอบเราเสมอ จนเราได้เรียนรู้ และแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น

ในชีวิตของครูจนครูตาย ครูก็ไม่แน่ใจว่า สังคมไทยจะพัฒนาไปถึงไหน แต่ถ้าครูมได้ปลูกฝังปัญญา และสิ่งที่ดีงามไว้กับพวกเธอ แล้ว ครูมั่นใจว่า วันนึง แม้ว่า ครูจะถูกดินกลบหน้าไป เธอจะกลายเป็นไม้ใหญ่ค้ำยันประเทศของเราสืบไป  

คำสำคัญ (Tags): #คำธรรมดา
หมายเลขบันทึก: 340539เขียนเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2010 02:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2012 19:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณนะครับ สำหรับ ความคิดเห็นและคำแนะนำดีๆ รู้สึกมีกำลัง(ทั้งกายและใจ)ขึ้นเวลามาอ่าน blog ของ อาจารย์

ต้องขอโทษที่เวลามา comment บทความ มีแต่คำว่า ขอบคุณ เพราะว่า ตอนนี้ ผมพูดได้เท่านี้นะครับ เพราะผมเอง ยังทำหน้าที่ตนเอง

ยังไม่ดีเลย เลยไม่กล้าที่จะออกความคิดเห็นใดๆ

ขอบคุณครับสำหรับที่แวะมาอ่านเสมอ ดีใจที่บันทึกมีค่ากับใครบางคน แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม ครูอยากบอกว่า ครูก็ไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำอะไรถูกร้อยเปอร์เซ็น หรือว่าคิดดีร้อยเปอร์เซ็นหรอกครับ แต่ว่าก็อยากจะพยายามฝึกตัวเองให้ดี บางอย่างที่ครูพลาดไปทำอะไรผิดไปก็มีเอยะ จากประสบการณ์ตรงของครูเอง เมื่อผิดพลาด แล้วเราต้องศึกษาข้อผิดพลาดของเรา แต่อย่าโทษตัวเองมาก เอาความผิดไว้เป็นบทเรียนก็พอครับ แล้วรีบลุกขึ้นเดินต่อไปให้เร็วที่สุด ครูว่าคนเก่งและชนะต่างกับคนขี้แพ้ตรงนี้ คนขี้แพ้มักจะจมอยู่กับปัญหา วนเวียนกับมันโดยไม่ได้ดูว่าเราเสียเวลากับมันมากเกินไปหรือเปล่า ในชีวิตครูก็คยเป็นคนขี้แพ้มาก่อน แต่ทุกอย่างก็ต้องมีการพัฒนาไปให้ดีขึ้น อย่างที่ครูเขียนไว้นั่นแหละ วันหนึ่งครูมาคิดได้ว่า แทนที่จะจมอยู่กับปัญหา เอาเวลามาคิดว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรทำที่สุดในปัจจุบัน แล้ว เราจะทำอย่างไรจึงจดีที่สุด แล้วลงมือทำให้ดีเต็มที่เท่าที่จะเป็นไปได้จะดีกว่าไหม สำหรับครูเองที่ยังเป็นคนธรรมดา มีทั้งถูกและผิด ครูก็คิดเพียงว่าอะไรที่เป็นความคิดดีๆ ที่แว๊บเข้ามามาในสมอง แม้ครูเองจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ครูก็อยากถ่ายทอดออกไป เผื่อความคิดดีๆ นี้จะไปโดนใจใครสักคนให้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ หรือ เมื่อเราแลกเปลี่ยนความคิดกัน บนพื้นฐานของการเปิดใจ เคารพ และยอมรบในควมแตกต่าง มันอาจจะทำให้เราได้พัฒนาความคิดของเราในแง่อื่นๆมากขึ้น ทักษะที่ครูถนัดมากคือการเขียนครับ โดยเฉพาะภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษ ครูยังแย่มาก สังเกตุคะแนนออกมาแย่จริงๆ เล่นเอาครูถอดใจไปเหมือนกัน แต่ก็เข้าสูตรเดิมครับ หันมาพิจารณาความผิดพลาดเป็นบทเรียนและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนตัว ครูว่านพพิจิตรเป็นเด็กหัวดี และสนใจสิ่งต่างๆรอบตัว มีศักยภาพมากพอที่จะให้เกิดประโยชน์เหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ขอให้เธอมุ่งมั่นจริงจังที่จะทำมันให้ดีครับ ถาเธอยากแสดงความเห็นอะไรก็ลองเขียนมาดูสิครับ ที่บล็อกนี้ป็นสนามเปิดกว้างทางวิชาการและเป็นสนามฝึกหัดที่ดีครับ ครูเองก็ต้องบอกตัวเองอย่างนั้นเหมือนกันครับ เพราะครูก็รู้เหมือนกันว่าครูก็ไม่ได้กว้างมาก ยังโง่อยู่หลายเรื่องจึงต้องพยายามหาความรู้ใส่ตัวเอง

วันมาบูชานี้ถือเป็นฤกษ์ที่ที่เราทั้งหลายจะได้ เริ่มต้นสิ่งดีๆ ครับ ถ้าเราเริ่มต้นเดินแล้ว และเดินไปเรื่อยๆ ทางก็จะสั้นลงเรื่อยๆ ครับ ถึงแม้มันจะยากและไกล แต่ก็ไม่เกินความสามารถแน่นอนครับ

๑.ทำความดี การตั้งใทำน้าที่ให้ดีที่สุด ก็เป็นการปฏิบัติธรรมทางกายครับ

๒.ละเว้นความชั่วทั้งปวง เริ่มจากทางกาย แลวาจาก่อน การรักษาศิลก็เป็นการรักษาระบบคุณค่าของสังคมรวมให้สงบสุขครับ เพราะจะได้ไม่มีการเบียดเบียนกัน

๓.ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วครับ ถือเป็นการฝึกใจเป็นการหัดใจให้หนักน่นเข้มแข็ง และใช้ใจให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและคนอื่นครับ หรือ ถึงแม้พยายามแล้ว แต่ยังทำไม่ด้ก็ได้ชื่อว่าพยายามแล้วครับ อันนี้ก็เป็นการหัดธรรมะเหมือนกันครับ ทำให้เต็มที่ได้อะไรก็อุเบกขา  ทำเต็มที่แล้วอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ก็ปล่อยมันไป เรื่องอะไรแก้ได้ก็แก้ให้ดีที่สุด แก้ไม่ได้ ก็ ยอมรับว่าแก้ไม่ได้ อย่าไปทุกข์กับมันค่อยๆ แก้ไปถ้ามีหน้าที่ที่จะต้องแก้ครับ เรื่องนี้พูดง่าย แต่ทำยากครับ ทำได้ก็ชื่อว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน

 

ครูเชื่อว่าเธอมีศักยภาพที่จะทำได้ครับ

 

รักและปรารถนาดี

ครู

บางที ผมก็ไม่อยากคิดอะไร มากนะครับกับเรื่องการเมือง....แต่ว่าได้เรียนด้านนิติศาสตร์มา

มันก็ทำให้ต้องคิดอยู่ดีแหละครับ แต่ไม่ใช่ว่าเฉพาะพวกที่ต้องเรื่องสายนี้ เท่านั้นถึงต้องรับรู้เรื่องการเมือง

ผมว่าทุกคนควรจะสนใจเรื่องการเมือง มองปัญหาเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขกันทีละเล็กละน้อย

แต่บางคนก็ไม่สนใจ เรื่องการเมืองก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของนักการเมืองไป เราไม่เกี่ยวทำงานของตัวเองไปดีกว่า

ปัญหามันเลยแก้ไขไม่ได้ สักที เพราะว่ายังงมองปัญหาการเมืองว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่ยุ่ง ไม่อยากคิดให้ปวดหัว

ประเทศชาติ บ้านเมือง ถึงยังไม่พัฒนา สักที...........

บางครั้ง ผมยังนึกเล่นๆว่า ถ้ายังปกครองแบบสมัยสมบูรญาณาสิทธิราช ประเทศชาติคงเจริญ เกือบทัดเทียมพวกยุโรปแน่ๆ

เพราะเรามีกษัตริย์ ที่มีพระอัจฉริยภาพที่เก่งทุกด้าน และอยู่ในคุณธรรม จนประเทศต่างๆยอมรับ

'ประชาธิปไตย' ในความเข้าใจของประเทศไทยนั้นต่างจากความเข้าใจของคนต่างชาตินะครับ ว่าที่จริงคำว่าประชาธิปไตยนั้น ยังไม่มีการให้ความหมายชัด ได้แต่บ่งลักษณะไว้ และยังมีบางส่วนของความหมายที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่จนปัจจุบัน แต่ที่แน่ๆ หนึ่งในลักษณะของประชาธิปไตย คือการเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมครับ ในการให้คุณค่าและความหมายของ'ประชาธิปไตย' ไม่แปลกที่ประเทศไทยจะวุ่นวายเพราะต่างประเทศกว่าที่จะผ่านมาได้อย่างปัจจุบันก็วุ่นวายกันมาก่อนครับ แต่เว่าสังคมเค้ายังดีที่ได้มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมจนทุกคนเห็นคุณค่าของการเป็นสังคมประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง ให้แต่ละคนแสดงความเห็นได้โดยไม่ต้องฆ่ากัน เพราะความเห็นที่แตกต่าง และเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน

ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น มีจุดอ่นที่การได้ตัวคนมาเป็นผู้นำครับ เราไม่สามารถประกันได้ว่าคนที่ชาติเราจะได้มาเป็นผู้นำจะมีคุณธรรมและฉลาดปราดเปรื่องเสมอไป และหลายครั้งระบบนี้เองได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสะท้อนความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง และอาจจะนำไปสู๋ระบบอุปถมภ์ เล่นพรรคพวกได้ง่าย เพราะขาดการควบคุมตรวจสอบ เหตุเพราะอำนาจอยู่ในมือคนคนเดียว

ระบอบการปกครองที่เลวร้ายน้อยที่สุดในปัจจุบันคือระบบประชาธิปไตยครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นระบบนี้ก็ต้องการประชาชนที่เข้าใจและช่วยกันรักษาระบบให้บ้านเมืองพัฒนาต่อไปอย่างสงบสุขได้ครับ แต่เมืองไทยประชาชนเรายังขาดความรู้ความเข้าใจครับ ปัจจุบันที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น หลายคนหนักใจ แต่จุดดีที่ได้คือ ประชาชนทุกคนตื่นตัวทางการเมืองครับ ทุกระดับ คนทุกคนเริ่มเรียนรู้สิทธิ์ตนเอง และการเรียกร้องสิทธิครับ แต่ปัจจุบันเราก็จะเห็นว่าพอประชาชนเราไม่พอใจอะไรก็จะก่อม๊อบ ก็ไม่แปลกและไม่ผิดครับ ตราบเท่าที่ไม่ได้ไปละเมิดสิทธิของคนอื่นๆ เพราะไม่มีสิทธิ์ของใครที่ดีกว่าของใคร

เรายังต้องเรียนรู้กันอีกมากครับ โดยเฉพาะ บทเรียนบทหนึ่งที่คนไทยยังไม่ได้เรียนรู้คือ เราจะใช้ระบอบประชาธิปไตยอย่างไรให้เหมาะสม ให้เราอยู่กันอย่างสงบสุข บ้านเมืองพัฒนา และ ควบคุมการใช้อำนาจของนักการเมืองได้

การใช้อำนาจการเมืองของนักการเมืองไทยปัจจุบันมักจะเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องโดยไม่ได้สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง นี่เองครับ เป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาพยายามผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น แต่เท่าที่ผ่านมา ผมว่าภาคประชาสังคมไทยยังไม่เข้มแข็งเท่าไหร่ หลายส่วนเกิดจากการจัดตั้งเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น ไม่ได้เป็นกลุ่มที่สะท้อนความเห็นและความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง หลายๆ ครั้งเราจะเห็นว่าภาคประชาสังคมขาดแรงในการผลักดันให้เกิดสิ่งดีๆ ต่างๆ ขึ้นในบ้านเมืองครับ เช่น เรื่องการปฏิรูประบบรถไฟไทย การปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปความเป็นอิสระของสื่อสารมวลชน การควบคุมตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง (ตามความเห็นผมนี่อาจจะเป็นเหตุให้นักการเมืองไม่ส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมไทยเข้มแข็งก็ได้ครับ เพราะไม่อยากให้ใครมาตรวจสอบ) เรื่องนี้นักกฎหมายต้องช่วยกันสร้างแรงผลักดันให้เกิดขึ้นในสังคมครับ เพราะเราเป็นวิศวกรสังคมครับ เราอยากให้สังคมเป็นแบบไหน เราก็ต้องช่วยกันสร้างมันขึ้นมาครับ

ขอบคุณที่แวะมาแสดงความเห็นครับ

You are my inspiration.

You are the idol.

I will be a teacher.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท