การจัดการเชิงกลยุทธ์
จิราวรรณ บุญศรีวงษ์
1. ความนำ
ในการจัดการองค์การ ผู้บริหารจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าทำอย่างไรจึงจะให้องค์กรบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ สอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลแลงทางเศรษฐกิจ สังคม
และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยากร ผู้บริหารจำเป็นจะต้องรู้จักเลือกคนและนำคน นำจุดแข็งและความรู้ความสามารถของคนมาหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและสร้างองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ที่สามารพัฒนาก้าวทันการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง และสิ่งสุดท้ายคือผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ เพื่อสร้างภาพที่อยากให้องค์กรเป็นไปในอนาคต เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงาน รวมทั้งจะต้องรู้จักวางแผนกลยุทธ์ เพราะกลยุทธ์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จหรือความเป็นเลิศซึ่งต้องอาศัยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ผู้วางแผนกลยุทธ์จะต้องสามารถมองไปข้างหน้าได้อย่างถูกต้อง เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น
การจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) เป็นศาสตร์และศิลป์ทางด้านการบริหารงานในองค์การ ในบทความนี้จะกล่าวถึงความหมาย ความสำคัญ ประโยชน์และกระบวนการในการจัดการเชิงกลยุทธ์
2. ความหมาย
กลยุทธ์ มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ ดังนี้
Pitts and Lei (2000:6) กล่าวว่า กลยุทธ์หมายถึง ความคิด (ideas) แผนงาน (plans) และการกระทำ (actions) ต่าง ๆ ที่บริษัทนำมาใช้เพื่อให้เกิดความสำเร็จเหนือคู่แข่งขัน กลยุทธ์จะถูกออกแบบขึ้นเพื่อช่วยบริษัทบรรลุผลสำเร็จ มีความเป็นต่อหรือความได้เปรียบในการแข่งขัน (competitive advantage) ซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขันมาจากความสามารถของบริษัทที่จะดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้เด่นชัดมากกว่า หรือมีประสิทธิภาพหรือคู่แข่งขัน
Schermerhorn (2002:203) กล่าวว่า กลยุทธ์หมายถึง แผนแม่บทหรือแผนปฏิบัติการหลักสำคัญขององค์กร (comprehensive action plan) ซึ่งองค์การใช้เป็นตัวกำหนดทิศทางการดำเนินงาน
ระยะยาว รวมทั้งใช้เพื่อเป็นแนวทางในการใช้ทรัพยากรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยทำให้ได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน (sustainable competitive advantage)
กลยุทธ์จะมุ่งเน้นการนำมาใช้ในสภาวการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่มีการแข่งขัน (competitive environmean) อันแสดงถึง “การคาดการณ์ที่ดีที่สุด” (best guess) ในสิ่งที่ต้องการกระทำเพื่อให้เกิด
ความมั่นใจว่าจะเกิดผลสำเร็จในอนาคตในขณะที่เผชิญอยู่กับคู่แข่งขัน หรือแม้แต่ในสภาวการณ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
2
ความหมายของกลยุทธ์ในภาครัฐบาล
Samuel Paul (1983:57) กล่าวว่า กลยุทธ์หมายถึงชุดของทางเลือกระยะยาวที่เกี่ยวกับเป้าประสงค์เชิงปฏิบัติการและนโยบาย รวมทั้งแผนปฎิบัติการของแผนงานของรัฐบาล ซึ่งหน่วยงานภาครัฐบาลกำหนด โดยคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญสองประการ ได้แก่ วัตถุประสงค์ของแผนงานที่รัฐบาลกำหนดไว้และสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของแผนงาน
จากการศึกษาความเห็นของนักวิชาการดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า กลยุทธ์หมายถึงวิธีการรูปแบบการตัดสินใจ หรือแผนปฏิบัติการที่ผู้บริหารนำมาใช้เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการ
จากปัจจุบันให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ในอนาคต
การจัดการเชิงกลยุทธ์ มีผู้ให้ความหมายต่าง ๆ ดังนี้
Thompson and Strickland (1999:3-4) กล่าวว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นกระบวนการดำเนินงาน 5 ขั้นตอน เกี่ยวกับการจัดทำกลยุทธ์ (strategy making) และการปฏิบัติตามกลยุทธ์ (strategy-implementing) ที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ได้แก่
ธุรกิจในอนาคตของบริษัทว่ามีลักษณะอย่างไร องค์กรจะมุ่งหน้าไปทางไหน ทั้งนี้เพื่อเป็นการ กำหนดทิศทางในการดำเนินงานในระยะยาวให้กับองค์กร บอกชนิดของธุรกิจที่บริษัท พยายามอยากจะให้เป็นไป และแจ้งให้ทุกคนได้รับทราบ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปใน ทิศทางตามที่มุ่งหวังร่วมกัน
2. การกำหนดวัตถุประสงค์ (setting objectives) เป็นการเปลี่ยนวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ให้เป็น
เป้าหมายในการดำเนินงานโดยเฉพาะเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้
3. การจัดทำกลยุทธ์ (crafting a strategy) เพื่อบรรลุผลสำเร็จตามที่ตั้งความมุ่งหวังไว้
4. การนำกลยุทธ์ที่เลือกไว้ไปปฏิบัติ (implementing and executing the chosen strategy)
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด
performance and initiating corrective adjustment) การปรับปรุงแก้ไขจะเริ่มตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดทิศทางในการดำเนินงานระยะยาว การกำหนดวัตถุประสงค์ การจัดทำกลยุทธ์ หรือการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ โดยพิจารณาจากประสบการณ์จริง และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ใหม่ ความคิดใหม่และโอกาสที่เกิดขึ้นขึ้นใหม่
Wheelen and Hunger (2002:3) กล่าวว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์หมายถึง ชุดของการตัดสินใจและการปฏิบัติการต่าง ๆ ทางด้านการบริหาร ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดการดำเนินงานระยะยาวของบริษัท ประกอบด้วย การตรวจสอบสภาพแวดล้อม (environmental scanning) ทั้งภายในและภายนอกองค์กร การจัดทำกลยุทธ์ (strategic formulation) ซึ่งเป็นแผนกลยุทธ์หรือแผนระยะยาว การปฏิบัติตามกลยุทธ์
3
(strategy implementation) และการประเมินผลและการควบคุม (evaluation and control) และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การศึกษาการจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นการตรวจสอบและประเมิน โอกาส (opportunities) และอุปสรรคหรือข้อจำกัด (threats) โดยคำนึงถึง จุดแข็ง (strengths) และจุดอ่อน (weaknesses) ของบริษัทเป็นหลักสำคัญ
Pearce and Robinson (2000:3) กล่าวว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์ หมายถึงชุดของการตัดสินใจและการปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนและปฏิบัติตามแผน ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อช่วยให้วัตถุประสงค์ของบริษัทบรรลุผลสำเร็จ (Strategic management is defined as the set of decisions and actions that result in the formulation and implementation of plans designed to achieve a companys objectives)
การจัดการเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วยงานหลักสำคัญ 9 อย่าง ดังนี้
กว้าง ๆ เกี่ยวกับความมุ่งหมาย ปรัชญา และเป้าหมาย
จุดอ่อน
ทั่วไป เพื่อฉกฉวยโอกาสมาเพื่อดำเนินงาน และหลีกเลี่ยงอุปสรรคหรือภัยคุกคามต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอก
สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัท
ดำเนินธุรกิจที่เลือกไว้นั้นบรรลุผลสำเร็จ
และกลยุทธ์แม่บท
คน โครงสร้างและเทคโนโลยี
ตัวนำเข้า เพื่อการตัดสินใจในอนาคต
จากงานหลักทั้ง 9 อย่างที่กล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการบริหารงาน
ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน (planning) การอำนวยการ (directing) การจัดองค์การ (organizing) และการ
4
ควบคุม (controlling) อันเกี่ยวกับการตัดสินใจและการปฎิบัติการทางด้านกลยุทธ์ของบริษัท สำหรับ กลยุทธ์ในความหมายของผู้จัดการ หมายถึงแผนแม่บทขนาดใหญ่ที่จะนำไปปฏิบัติในอนาคต เพื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ กลยุทธ์จึงเปรียบได้เหมือนกัน “แผนการแข่งขัน” หรือ “game plan” ของบริษัทนั่นเอง แม้ว่าแผนนั้นจะไม่ให้รายละเอียดชัดเจนมากนักเกี่ยวกับการเตรียมการทุกด้านในอนาคต (เช่น คน เงินและวัสดุ) แต่ก็ได้ให้แนวทางในการตัดสินใจด้านการจัดการเป็นอย่างดี กลยุทธ์จะสะท้อนให้บริษัทตระนักว่า บริษัทควรจะแข่งขันอย่างไร (how) เมื่อไร (when) และที่ไหน ( where) ควรจะแข่งกับใคร (against whom) และมีความมุ่งหมายอะไร (for what purposes)
พิบูล ทีปะปาล (2546: 10) กล่าวว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นการกำหนดแนวทางหรือวิถีทางในการดำเนินงานขององค์การ เพื่อให้งานบรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่งการกำหนดแนวทางหรือทิศทางในการดำเนินงานนั้น ผู้บริหารจำเป็นจะต้องทำการวิเคราะห์และประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อจัดทำแผนงานดำเนินงานที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัณรส มาลากุล ณ อยุธยา (2551:1) กล่าวว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์ (Srategy managememnt) เป็นวิธีการบริหารที่มุ่งเน้น
- การกำหนดทิศทาง ภารกิจและกลยุทธ์การดำเนินงานขององค์กรให้ชัดเจนและสอดคล้องกับ
กระแสการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพการณ์ภายในขององค์การ
- การดำเนินการพัฒนาปรับปรุงส่วนต่าง ๆ ขององค์การให้สามารถนำกลยุทธ์ที่กำหนดไว้
ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
- และการติดตามกำกับ ควบคุมและประเมินผลการดำเนินการตามกลยุทธ์ เพื่อเรียนรู้ผล
ความก้าวหน้า ตลอดจนปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป
จากการศึกษาความเห็นของนักวิชาการดังกล่าวข้างต้นสรุปว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็น
กระบวนการทางการบริหารงานที่มุ่งเน้นการวางแผน การกำหนดการดำเนินงานของบริษัท โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อจัดทำเป็นแผนการดำเนินงานที่เหมาะสม กำหนดการติดตาม ควบคุมและประเมินผลการดำเนินงานตามกลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความสำคัญของการจัดการเชิงกลยุทธ์
ในการจัดการเชิงกลยุทธ์มีความสำคัญ ดังนี้
1. การจัดการเชิงกลยุทธ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
5
2. การจัดการเชิงกลยุทธ์จะคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับองค์การอย่างกว้างขวาง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับองค์การ (Stakeholders) หมายถึง กลุ่มผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจกำหนดนโยบายขององค์การ ซึ่งการกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ขององค์การต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้อย่างเหมาะสม
3. การจัดการเชิงกลยุทธ์ต้องคำนึงถึงผลทั้งระยะสั้นและยะยาว การจัดการเชิงกลยุทธ์ทำให้ผู้บริหารระดับสูงต้องกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ระยะยาวขึ้นก่อน จากนั้นจึงมอบหมายให้ผู้บริหารระดับกลางนำกลยุทธ์ระยะยาวเหล่านั้นไปกำหนดเป็นแผนปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบในแต่ละงาน อันเป็นผลต่อความสำเร็จขององค์การทั้งในระยะสั้นและระยาว
4. การจัดการเชิงกลยุทธ์มุ่งเน้นทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดผลสำเร็จ
ของงาน
4. ประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์
นักวิชาการได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ไว้ต่าง ๆ กัน ที่น่าสนใจมีดังนี้
Thompson and Sreickland (1999:24) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ พอสรุปได้ดังนี้
1. เพื่อให้แนวทางในการปฏิบัติงานต่อทุกคนในองค์การ โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญ “สิ่งที่เราพยายามจะทำ และทำให้สำเร็จ”
2. ทำให้ผู้จัดการ มีความตื่นตัวมากขึ้นต่อทิศทางการเปลี่ยนแปลง เพื่อปรับแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่ และหาทางหลบหลีกภยันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
3. เพื่อช่วยให้ผู้จัดการ มีเหตุผลในการจัดสรรงบประมาณในการลงทุนจัดกำลังคนและทรัพยากรอื่น ๆ ให้กับแผนงานต่าง ๆ
4. ช่วยให้การตัดสินในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ทั้งองค์การปฏิบัติงานร่วมกัน จะได้ตัดสินใจสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว
5. เพื่อช่วยให้เกิดการจัดกิจกรรมล่วงหน้า เพื่อตัดสินใจตอบโต้ หรือตั้งรับต่อแนวโน้มต่าง ๆ
ที่จะเกิดขึ้น
ข้อได้เปรียบของการลงมือก่อนหรือการริเริ่มใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ก่อนผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จในการดำเนินงานในระยะยาวที่กว่าเสมอ
Pearce and Robinson (2000:9-10) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ ไว้ดังนี้
การใช้การจัดการเชิงกลยุทธ์ไปดำเนินงาน จะช่วยให้ผู้จัดการทุกระดับของบริษัทได้เข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งด้านการวางแผนและการนำแผนงานไปปฏิบัติ การให้ผู้จัดการทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน ย่อมก่อให้เกิดผลประโยชน์ในเชิงพฤติกรรมในแง่ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่มีคุณค่า
6
เป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือทำให้ผู้บริหารทุกระดับเกิดความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมที่จะอุทิศตนอุทิศเวลามุ่งมั่นทำงานร่วมกัน เพื่อให้งานเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้ แต่มีความหมายอย่างยิ่งในเชิงการจัดการ
นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ มีส่วนช่วยสำคัญทำให้ผลการดำเนินงานดีกว่าองค์การที่ไม่ใช้หลักการจัดการเชิงกลยุทธ์ จากการสำรวจเกือบ 50 บริษัท พบว่า ประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ 3 ลำดับแรกที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เข้าใจวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของบริษัทชัดเจนยิ่งขึ้น รู้ว่าเรื่องอะไรบ้างที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ และทำให้เข้าใจสภาพแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลงดียิ่งขึ้น
จากการศึกษาความเห็นของนักวิชาการและผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้น สรุปประโยชน์ของการจัดการเชิงกลยุทธ์ได้ดังนี้
1. ช่วยให้องค์การกำหนดวัตถุประสงค์และกำหนดทิศทงหรือภารกิจหลักในอนาคตได้อย่างชัดเจน สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ปฏิบัติงานในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ช่วยให้ทุกคนในองค์การดำเนินงานในหน้าที่ต่าง ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน และมีความสอดคล้องกันในระหว่างส่วนย่อยต่าง ๆ ขององค์การโดยมีกรอบทิศทางที่แน่ชัด
3. ช่วยให้ผู้บริหารทุกระดับมีส่วนร่วมในการบริหาร มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาองค์การด้วยความรัก และถือได้ว่าเป็นการสร้างความเป็นผู้นำให้แก่ผู้บริหารด้วยเช่นกัน
4. ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและสามารถลดความเสี่ยงได้
5. กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์
กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management Process) มี 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย
อุปสรรค” จากภายนอกหน่วยงาน ซี่งเป็นปัจจัยเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการบรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน ทั้งที่เป็นปัจจัยเงื่อนไขในระยะเวลาที่ผ่านมาและที่จะเป็นไปในอนาคต
หน่วยงาน และเป้าประสงค์ของหน่วยงาน ซึ่งเน้นประโยชน์ที่ได้รับจากการมีหน่วยงาน
โดยพิจารณาออกแบบและเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงจากการวิเคราะห์ทางเลือกด้วยเทคนิคต่าง ๆ
7
ให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยคำนึงถึงโครงการสร้างของหน่วยงานและวัฒนธรรมของหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จที่พึงประสงค์
กระบวนการและประเมินผลสำเร็จของหน่วยงาน รวมถึงการติดตามสถานการณ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจทำให้ต้องมีการปรับแผนกลยุทธ์
6. แผนกลยุทธ์
แผนกลยุทธ์ (Strategic Plan) คือ
ดำเนินงานขององค์การหนึ่ง ๆ
การประสานและกำกับติดตามการดำเนินงานในส่วนต่าง ๆ ขององค์การให้เป็นไปในทิศทางและจังหวะเวลาที่สอดคล้องกัน
คาดคะเนแนวโน้มของสถานการณ์ดังกล่าว
7. การจัดทำแผนกลยุทธ์
การจัดทำแผนกลยุทธ์ ถือว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เป็นการกำหนดแนวทาง
วิธีการเพื่อให้องค์การมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ ด้วยการประเมิน ปรับเปลี่ยนศักยภาพของทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรภายในขององค์การให้มีศักยภาพต่อการฉกฉวยโอกาสที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดประโยชน์และความได้เปรียบในการแข่งขัน
การจัดทำแผนกลยุทธ์ มีขั้นตอนดังนี้
7.1 การวิเคราะห์สถานการณ์
การวิเคราะห์สถานการณ์ หมายถึง การคาดคะเนแนวโน้มของสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์การ โดยมีตัวแปรสำคัญที่ควรพิจารณา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
7.1.1 การวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอก ได้แก่การพิจารณาถึงแนวโน้มของตัวแปร
ต่าง ๆ ดังนี้
(1) สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป มีปัจจัยที่ควรพิจารณา ดังนี้
องค์การ
8
ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ
ทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์การ
ที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์การ
(2) สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์การโดยตรง มีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังนี้
ส่วนราชการในพื้นที่เดียวกัน เป็นต้น
ปัจจัยเหล่านี้ คือตัวอย่างของปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาเพื่อวิเคราะห์หรือมองหาโอกาส (Opportunities) และภัยคุกคาม (Threats)
7.1.2 การวิเคราะห์สถานการณ์ภายในองค์การ ได้แก่การพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
ความสามารถ
¡ ความสามารถทางการตลาดในการที่จะกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์หรือความ
ต้องการสินค้าและบริการที่องค์การผลิต
¡ ความสามารถในการจัดจำหน่ายหรือส่งมอบสินค้าและบริการที่องค์การผลิต
¡ ความสามารถในการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบขององค์การ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้ในยามจำเป็น
9
¡ ความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
¡ ความสามารถในการจัดซื้อ จัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ วัตถุดินและปัจจัยการผลิตต่าง ๆ
¡ ความสามารถในด้านการบริหารจัดการ
¡ การวางแผน
¡ การจัดโครงสร้างองค์การ
¡ การประสานงานระหว่างส่วนงานต่าง ๆ
¡ การบริหารการเงินและงบประมาณ
¡ การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การ
¡ ความสามารถในการติดตาม อำนวยการ การกำกับและควบคุมงาน
¡ ภาวะผู้นำ : บุคลิกภาพ ภาพลักษณ์ ความรู้ความสามารถ คุณธรรม
เอาจริงเอาจัง เอาใจใส่และให้ความสำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์
ขององค์การ
ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาเพื่อระบุ จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน
(Weaknesses) ขององค์การ
7.2 การกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ
วิสัยทัศน์ขององค์การ (Vision) คือ คำบรรยายถึงสภาพและการดำเนินงานขององค์การที่ต้องการให้เกิดขึ้น ภายใต้เงื่อนไขแนวโน้มของสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ได้คาดคะเนไว้
7.3 การกำหนดภารกิจ
การกำหนดภารกิจมีสองระดับ คือ
ระดับแรก เป็นการกำหนดภารกิจในลักษณะของอาณัติ หรือบทบาทหน้าที่ขององค์การที่สังคมกำหนดให้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ การตอบคำถามที่ว่า “องค์การนี้มีขึ้นมาเพื่ออะไร” ซึ่งคำตอบจะคงที่ตลอดชั่วอายุขององค์การ
ระดับที่สอง เป็นการกำหนดภารกิจที่องค์การจะต้องดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนกลยุทธ์นั่นเอง ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ แต่ไม่ควรเปลี่ยนไปจนไม่สอดคล้องกับภารกิจดั้งเดิม(ระดับแรก) ขององค์การ
7.4 การกำหนดกลยุทธ์
เมื่อได้กำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจอัน เป็นเป้าหมายในการดำเนินงานขององค์การแล้ว
ขั้นตอนต่อมาก็คือการกำหนดกลยุทธ์ ซึ่งหมายถึงแนวทางหรือวิธีการต่าง ๆ ที่จะนำองค์การไปสู่การบรรลุผลตามวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นนั้น ควรมีความสอดคล้องกับแนวโน้ม
10
ที่สำคัญที่ระบุไว้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอกและภายในองค์การด้วย โดยอาจพิจารณากำหนดกลยุทธ์ได้ดังนี้
7.4.1 พิจารณาโอกาสสำคัญที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม แล้วมองหาวิธีการที่จะใช้จุดแข็งขององค์การให้ได้ประโยชน์ในการคว้าโอกาสนั้นมารใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การ โดยควรพิจารณาจุดอ่อนขององค์การประกอบด้วย เพราะองค์การอาจมีจุดอ่อนที่เป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถนำเอาจุดแข็งที่มีอยู่มาใช้ในการคว้าโอกาสที่เปิดขึ้นมาได้ เช่น เมื่อเศรษฐกิจเฟื่องฟู องค์การที่มีความสามารถด้านการผลิตสูงย่อมมีความได้เปรียบ แต่ถ้าหากองค์การนั้นมีจุดอ่อนอยู่ที่การตลาดก็จะทำให้ไม่สามารถใช้จุดแข็งด้านความสามารถในการผลิตได้อย่างเต็มที่
7.4.2 พิจารณาถึงภัยคุกคามที่สำคัญ โดยพยายามหากลยุทธ์ที่เป็นการนำเอาจุดแข็งที่มีอยู่มใช้ในการป้องกันตัว หรือไม่ก็นำจุดแข็งนั้นนำไปใช้คว้าโอกาสอื่นที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อมีคู่แข่งที่เข้มแข็งเข้ามาในตลาดที่เราครองอยู่ ก็อาจต้องใช้จุดแข็งของเรา เช่น ในเรื่องความสนิทสนมกับตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่เป็นเครื่องป้องกันตัว เป็นต้น
7.5 การแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ งานของผู้จัดการในตอนนี้จึงหันมามุ่งเน้นให้ความสนใจ
ที่จะเปลี่ยนแผนกลยุทธ์นั้นไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด การจัดทำกลยุทธ์กับการกับแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลดี จำเป็นต้องอาศัยงานด้านการบริหารและทักษะ
ที่แตกต่างกัน การจัดทำกลยุทธ์นั้นส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่ตลาด อันเป็นกิจกรรมของผู้บริหารกิจการ
ส่วนการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่การดำเนินงานหรือปฏิบัติการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านการบริหารงานบุคคลและกระบวนการทางด้านธุรกิจเป็นสำคัญ และในการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัตินั้น ต้องอาศัยแผนปฏิบัติการเป็นเครื่องมือสำหรับใช้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับส่วนงานต่าง ๆ
ให้เป็นไปอย่างสอดประสานกันทั้งในแง่ทิศทางและจังหวะเวลา โดยการจัดทำแผนปฏิบัติการนั้นอาจใช้รูปแบบต่าง ๆ กันได้หลายแบบ เช่น การใช้การวางแผนโครงการแบบเหตุผลสัมพันธ์ หรืออาจเขียน
ในทำนอง Gant Chart ก็ได้ แต่อย่างน้อยในแผนปฏิบัติการควรมีองค์ประกอบพื้นฐาน ดังนี้
7.5.1 ชื่อแผนงาน ซึ่งก็คือชื่อของกลยุทธ์แต่ละกลยุทธ์นั่นเอง
7.5.2 วัตถุประสงค์และ/หรือเป้าหมายของแผนงานนั้น ซึ่งจะสามารถให้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ(Key Success Indicators) และเป็นมาตรการที่สามารถใช้ในการติดตามประเมินความสำเร็จก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนงานได้
7.5.3 ชื่อโครงการ งาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในแผนงานนั้น
11
7.5.4 วัตถุประสงค์ เป้าหมายและ/หรือตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ กิจกรรม นั้น ๆ ที่ผู้บริหารและผู้ปฎิบัติงานสามารถที่จะใช้ในการติดตามประเมิน
ผลงานได้
7.5.5 เงื่อนเวลาซึ่งสะท้อนถึงลำดับก่อน-หลังในการดำเนินการ
7.5.6 ผู้รับผิดชอบในการดำเนินโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ
7.5.7 งบประมาณและปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จ
7.6 การติดตามและการประเมินผลกลยุทธ์ เป็นกระบวนการสุดท้ายในการจัดการเชิงกลยุทธ์
ที่จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานทั้งหมดตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ว่าบรรลุผลสำเร็จตามแผนที่วางไว้ ซึ่งวิธีการในการติดตามประเมินผลนั้นก็คือการคอยติดตามข่าวสารข้อมูล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวชี้วัดความสำเร็จต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้และคอยแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนถึงการคอยติดตามให้การสนับสนุนแก่ผู้ปฏิบัติงานในส่วนงาน
ต่าง ๆ ในทุก ๆ ด้าน ให้สามารถปฏิบัติงานตามกลยุทธ์ให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ
&
อาจาร์ยข๋า แล้ว strategic Vision มันแปลว่าอะไรอ่ะค่ะ คือหนูหาความหมายมันไม่เจอ หาเจอแต่มันต้องแยกคำ รบกวนอาจาร์ยหน่อยค่ะ