ในวันที่ 7 มิถุนายน 2549 ที่ผ่านมา จ๊ะจ๋าได้นำเสนอบทความวิเคราะห์ให้กับทีม สคส. ฟังในการประชุมประจำสัปดาห์.....ก็จ๊ะจ๋า....รับผิดชอบวิเคราะห์บทความบทที่ 6 ของหนังสือ Appreciate Inquiry และมาเล่าให้ที่ประชุมฟัง ซึ่งบทที่ 6 : The child as agent of Inquiry ผู้เขียนบทนี้คือ David L. Coorperrider; Case Western University หลังจากที่อ่านจบบทแล้ว ขอบอกอย่างตรงๆ ว่าครั้งเดียวก็ยังไม่พอ ต้องอ่านซ้ำ 3 ครั้ง กว่าจะเข้าใจพอที่จะเล่าให้คนอื่นฟังได้...ก็เล่นเหนื่อยเหมือนกัน..และต้องยกนิ้วให้เลยกับผู้แต่งบทนี้ เพราะถือว่านำเอาสิ่งที่เราคิดไม่ถึงมาเขียนได้อย่างน่าสนใจ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง (ข้อดีของการอ่านคือ จ๊ะจ๋าได้ใช้เวลาคุ้มค่ากับการอ่านมากและการจับคู่กับเพื่อน ในการวิเคราะห์บทนี้ เราได้ประโยชน์กันทั้ง 2 คนก็คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ .....)
คำขึ้นต้นของบทก็สื่อความหมายได้ตรงไปตรงมา The sense of wonder, that is our sixth sense
ผู้แต่งได้เกริ่นด้วยคำถามมากมายแต่ คำถาม 2 – 3 คำถามที่สะกิดใจ......ผู้อ่านอ่อนหัดอย่างจ๊ะจ๋าคือ ²เกิดอะไรขึ้นกับผู้เล่า ในห้องเต็มไปด้วย ผู้คนที่ความกระตือรือร้น ฟังอย่างตั้งใจ เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความอยากรู้อยากเห็น²และ “ทำไมความรู้สึกของการสงสัย อยากรู้อยากเห็นของเด็ก ไม่ถูกยับยั้งหรือขัดขวาง นั่นคือ ข้อจำกัดทั่วไปของความเป็นเด็กทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราเอ็นดูนั่นเอง … ถ้าการค้นหาส่วนดีเหล่านี้คือหัวใจของการพัฒนาองค์กร (Organization Development)… และมีการพูดคุยที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของการชื่นชม ใฝ่รู้ ยกย่อง ยินดี ภาคภูมิใจ และอยากรู้อยากเห็น” ……ความรู้สึกเชิงบวกที่ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์ กล่าวโดยสรุปคือ พลังแห่งการค้นหาความดี (Spirit of Inquiry)
ผู้แต่งและทีมงานได้ทดลองใช้ AI หลายปี และคิดว่า AI คือเครื่องมือที่ไปถึงจุดจบของการแก้ปัญหา (The end of problem solving) เช่นเดียวกับการค้นหาความดีด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบความคิดของคนให้เกิดแรงบันดาลใจ การขับเคลื่อน และการดำรงไว้ และการเรียนรู้ด้วยกระบวนการตอกย้ำ ผลักดัน และกระตุ้น เป็นเครื่องมือของการพัฒนา “ The future of OD ” ซึ่งวิธีการนี้เป็นการใช้ศาสตร์และศิลปะของการตั้งคำถามเชิงบวกและทรงพลัง และผู้แต่งก็คิดว่า เป็นงานยากที่จะแทรกเข้าไปในจิตวิญญาณของคน เพื่อทำให้เกิดความโลดแล่นแห่งจินตนาการและนวัตกรรม และการแทนที่ความรู้สึกเชิงลบ ....อืม....ดูมันก็เป็นงานยากจริงๆ....
งานและบทบาทหลักที่จะต้องเริ่มทำคือ การให้เด็กเป็นตัวแทนของการซักถาม (ค้นหาความดี) "The child as agent of Inquiry" นั่นคือ การที่เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น พร้อมเรียนรู้ แลกเปลี่ยนจินตนาการ (คำถามของเด็ก ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้) (การตั้งคำถามที่ดีคือ การมีจิตนาการที่ดี)...... จ๊ะจ๋าคิดว่าอย่างงั้นนะ
และมี 3 กรณีศึกษาที่สำคัญ คือ
1. การจินตนาการเมืองในฝัน - Bliss Browne
การสร้างจินตนาการเมืองเป็นสุขของพลเมืองชาวชิคาโก
วิธีการทำงาน
บทสรุปคือ Imagine Chicago เป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดนวัตกรรมเมือง และใช้ AI เป็นเครื่องมือ
2. A Most Extraordinary Learning การเรียนรู้เป็นสิ่งที่พิเศษที่สุด
บทสรุปคือ การขับเคลื่อนการสนทนาจากรุ่นสู่รุ่น เกิด สังคมแห่งการเรียนรู้การเรียนรู้ของคน 3 รุ่น คือ เด็ก วัยกลางคน ผู้สูงวัย เป็นหนทางที่ดีที่สุดของสังคมแห่งการเรียนรู้
3. Appreciation and Wonderผู้แต่งได้ยกตัวอย่างการสัมภาษณ์ที่เป็นแบบอย่างของเด็กอายุ 13 ปีที่ขอสัมภาษณ์ครูใหญ่ของเขา ซึ่ง 5 คำถามที่น่าสนใจว่า
ครูใหญ่ไม่สามารถตอบคำถามได้และประหลาดใจตัวเองว่าไม่เคยมีใครถามเข้าแบบนี้มาก่อน แต่คิดว่าเป็นคำถามที่สำคัญมาก
ผู้แต่งได้ยกตัวอย่างผลการศึกษาของ Barbara Radner พบว่า ในการสัมภาษณ์ เด็กจะได้ยินเรื่องเล่าที่ไม่เคยได้ยินจากที่อื่นเลย (ข่าว, TV) เด็กเหล่านั้นจะถูกพัฒนาให้เป็นเจ้าของจินตนาการและประสบการณ์ที่ได้ยินทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเด็กชื่อ Willie J. Hempel มีความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกถูกกระตุ้นจากประสบการณ์ของเขาที่เริ่มเป็นอาสาสมัคร Imagine Chicago ใช้เวลาหลังเลิกเรียนทุกๆ วัน “ในช่วงเวลาที่เขาได้สัมภาษณ์กับ CEO ของ Sears ความฝันและความหวังของเขาได้ถูกจุดประกายขึ้น มันทำให้เขาอยากไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ที่มีผลต่ออนาคตของเมือง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องการที่จะเป็นอาสาสมัครในเวลานี้”
การตั้งคำถามของการสนทนาโดยใช้ พลังแห่งการค้นหา (Spirit of Inquiry) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีว่าการใช้ปัญหาเป็นจุดเริ่ม และ ใช้ศิลปะในการตั้งคำถามเชิงสร้างสรรค์ที่ไม่กำหนดเงื่อนไข (เป็นคำถามเชิงบวกที่ไร้เงื่อนไข)
ไม่มีความเห็น