...~*"เปียโนชีวิต"*~…อายุ นามเทพ...กับการทำงานช่วยเหลือสังคมของผม


คุณเคยอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ยืนต่อหน้าคนนับพันและยังรู้สึกว่าตนเองเป็นมนุษย์ล่องหน ไม่มีตัวตนหรือไม่ นั่นแหละ คือตัวฉันล่ะ และถ้าบังเอิญคุณก็เป็นอย่างที่ฉันเป็นอยู่ ก็อย่าได้หยุดเรียกร้อง สิทธิการเป็นคนของคุณเลย .......................................................................................ในที่สุดฉันก็ได้รับหนังสือเดินทางพิเศษที่ ออกให้พร้อมวีซ่าให้กลับเข้ามาในประเทศได้ ๒ ครั้ง และฉันก็ได้ร่วมเป็นตัวแทนไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ที่ฮ่องกงและเบอร์ลินตะวันตกในเดือนตุลาคม ๒๕๒๑ กับคนอื่นในทีม เป็นเดือนที่ฉันมีความสุขที่สุดเพราะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันมีกระดาษหนึ่งแผ่นจากทางการไทยที่ระบุว่าฉันเป็นคน

 

 

 

...~*"เปียโนชีวิต"*~…อายุ นามเทพ[1]

 

 

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งในหลายๆวันที่ข้าพเจ้าดำรงชีวิตที่ซ้ำซากจำเจอยู่กับการเรียนปริญญาโท โดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าข้าพเจ้าจะได้ประสบการณ์ชีวิตเรื่องใหม่ของข้าพเจ้า เป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้ในห้องเรียน หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า “ห้องเรียนชีวิต”

            ข้าพเจ้าต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่ออาจารย์ไหมชวนข้าพเจ้าไปส่งอาจารย์อายุ นามเทพ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาจารย์พาลูกทีมตัวแทนประเทศไทยไปแข่งดนตรี  Choir Olympics ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับโลก เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย ซึ่งข้าพเจ้าตอบรับอาสาที่จะไปเป็นเพื่อนโดยไม่ต้องคิด เพราะอะไร??? ความสับสนกังวลไม่มีในจิตใจของข้าพเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียวหรือเพราะว่าอยากรู้จริงๆว่า “คนไร้สัญชาติมีจริงด้วยหรือ” ถ้ามีจริงก็อยากเห็นจริงๆว่าหน้าตาเค้าจะเหมือนกับเราหรือไม่ (จริงๆนะ แบบว่าไม่รู้ว่าเค้าจะมีหูซ้ายข้างเดียวหรือเปล่า...เฮ้อ!!!เพ้อเจ้อแระเรา...คนที่ไหนมีหูซ้าย 2 ข้างอ่า)

            เมื่อข้าพเจ้าก้าวเข้าไปสู่ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ข้าพเจ้ามีความร้อนรนที่อยากจะเห็นหน้าตาของท่านอาจารย์อายุ อย่างมากมาย ก็พากันเดินกับอาจารย์ไหมไปมา จนมาพบท่านอาจารย์อายุ  ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม และแววตาที่เป็นประกายแห่งความหวังของท่านอาจารย์ ทำให้หัวใจของข้าพเจ้าชุ่มชื่นยิ่งนัก เพราะอะไรเล่า???...ตอบ...ไม่รู้อ่ะ พอพวกเราทักทายท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็ขอบคุณพวกเราที่มาส่ง “ไม่รู้ว่าไปครั้งนี้จะมีปัญหาหรือเปล่า” ท่านอาจารย์อายุกล่าวขึ้นพร้อมกับเริ่มมีสีหน้าที่เป็นกังวลยิ่งนัก ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นนะ???

            จากนั้นข้าพเจ้าและอาจารย์ไหมก็พาอาจารย์เข้าไปหาตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม.) เพื่อตรวจสอบเอกสาร “ไม่มีบัตรเข้าไม่ได้คะ” คำพูดนี้แสดงถึงความกังวลและเห็นถึงอุปสรรคด่านแรกของเราสองคน เมื่อเจ้าหน้าที่คุมประตูทางเข้าไปที่ทำการของต.ม.พูดออกมาเช่นนั้น ทำไงดี??? เราทั้งสองจึงได้ไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์เพื่อขอทำบัตรเข้าไปในด่านต.ม. “คุณมีเอกสารจากต้นสังกัดส่งมาหรือเปล่าครับ” นายตำรวจเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ถาม “ไม่มีคะ” อาจารย์ไหมตอบ “ถ้าอย่างนั้นคุณทำบัตรเข้าไปไม่ได้ครับ” นายตำรวจพูดเชิงปฏิเสธ จากนั้นอาจารย์ไหมเริ่มอธิบายเรื่องราวของอาจารย์อายุ และปัญหาที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนของต.ม. และผลร้ายของการตกเครื่องบินของท่านอาจารย์อายุ เราทั้งสองเริ่มเซ็ง.... และรู้สึกหงุดหงิดกะชายผู้นั้นมาก และมีอยู่ประโยคหนึ่งที่สะกิดใจมากเลย คือ “ถ้าทำถูกกฎหมายก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ ตำรวจรู้กฎหมายดี” นั่นแน่ แหมมมม! ต้องเชื่อเขาเลยอ่ะ ถ้าทุกวันนี้ทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องรู้กฎหมายดี แล้วทำไมถึงได้มีปัญหาหล่ะครับคุณตำรวจ ช่วยตอบทีเถอะ...ชิส์!!! (แต่มีเรื่องที่ทำให้นายตำรวจคนนั้นเหวอไปชั่วขณะหนึ่งก็คือ เค้าถามว่า "ไปแข่งอะไร" อาจารย์ไหมก็ตอบและเน้นเสียงที่คำหน้าอย่างชัดเจนมากมาย "ไควร์ /ควาย/...โอลิมปิคค่ะ" คุณตำรวจทำหน้างุนงงไปพักใหญ่...เฮ้อ!!! ภาษาอะไรก็ไม่รู้อ่านก็ยากแถมพูดเป็นภาษาไทยแล้วใครๆเค้าก็นึกว่าด่าเค้าหรือป่าวแน่เลย คุณตำรวจคงจะนึกเนอะ...เอ๊ะ! เด็กพวกนี้ด่าเราป่าวเนี่ย หรือว่า...อ๋อๆๆ แหม!!!ไปแข่งวิ่งควายถึงออสเตรียระดับโอลิมปิคเลยเหรอเนี่ย นักกีฬาคงต้องการผู้ฝึกไปด้วย ก็น่าเห็นใจอยู่ 555 จบข่าว!)

            ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ได้ทำบัตร 555 แพ้ราบคาบ ทำไงดีครับ???

            สีหน้าของท่านอาจารย์ และลูกของท่านอาจารย์อายุเริ่มเป็นกังวลมากขึ้น “ต้องแย่แน่เลยถ้าคุณแม่ไม่ได้ไปกับพวกเรา” เรมีย์ลูกของท่านอาจารย์กล่าวขึ้นมา ข้าพเจ้าก็เริ่มกังวลและเครียดด้วย การแข่งขันระดับโลกเช่นนี้ และท่านอาจารย์เป็นผู้ควบคุมวง หรือเป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง เป็นผู้ฝึกซ้อม จะต้องเสียโอกาสหรือ??? นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าเริ่มเต็ม 100 กับการที่จะก้าวเข้าสู่การทำงานเกี่ยวกับคนไร้รัฐไร้สัญชาติ นี่เองเป็นสิ่งที่หันเหความคิดให้ข้าพเจ้าเรียนรู้การเข้าใจปัญหาของคนอื่น และนี่เองคือทุกข์ของคนไร้สัญชาติจากกฎหมาย และกระบวนการขั้นตอนปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐไทย ทัศนคติของข้าพเจ้าเปลี่ยนและเห็นทุกข์ของคนไร้สัญชาติที่ไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง หรือทำให้เขาพลาดโอกาสในสังคม แค่สัญชาตินี่ ทำให้มีการเลือกปฏิบัติถึงเพียงนี้หรือ แค่สัญชาติใช่ไหมที่เป็นตัวกั้นว่านั่นคือเขา นี่คือเรา ทำไม???

            จากนั้นเราทั้งสองต่างก็ทำทุกวิถีทางที่เร่งร้นที่จะต้องหาทางเข้าไปอธิบายให้เจ้าหน้าที่ต.ม.ทราบ แต่ข้าพเจ้าลองสังเกตดูสีหน้าอาจารย์อีกที แม้จะมีแววตาแห่งความกังวลใจยิ่งนัก แต่รอยยิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มแห่งการต่อสู้ก็ยังปรากฏอยู่บนใบหน้าอันอิ่มเอิบ เพราะท่านอาจารย์ไม่ได้คิดที่จะเอาชนะในเรื่องนี้ แต่รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของท่านอาจารย์นั้นอยู่ที่ชัยชนะที่ออสเตรียเสียแล้ว และแล้วโชคก็เข้าข้างฝ่ายธรรมะเสมอ 555 พอดีมีพี่ที่อยู่ปปง.ช่วยพูดกับพี่ต.ม.ให้ และแล้วพวกเราพร้อมด้วยอาจารย์อายุ และลูกของท่านก็ได้เข้าไปอธิบายเรื่องของอาจารย์อายุโดยไม่ต้องใช้บัตรอะไรเข้าไปได้เลย จากนั้นก็ได้ได้พบกับผู้กองหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องโชคดีมากที่ ผู้กองท่านนี้เคยได้ทำเรื่องของท่านอาจารย์อายุมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ไปแข่ง Choir Olympics ครั้งที่4 ที่เมือง Xiamen สาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านผู้กองหญิงจึงเข้าใจปัญหา แต่ก็มีเจ้าหน้าที่หลายคนไม่เข้าใจ มิหนำซ้ำยังขอเอกสารเพิ่มเติมมากมาย ซึ่งก็น่าหนักใจอยู่ แต่ด้วยความสามารถและสติปัญญาของอาจารย์ไหม (ซุปเปอร์ไหม) แล้ว เรื่องแค่นี้ "ไหมทนได้" (สู้โว้ย!!!)

          เมื่ออธิบายเป็นที่พอแก่ต.ม.แล้ว จากนั้นก็พากันไปเช็คอิน และก็ไปทานข้าว จากนั้นก็เข้าไปด่านต.ม. แต่ก็รออยู่นานมาก....ปุณฑวิชญ์แอบหาว....ง่วงอ่ะ (-o-) zzzzz (เพราะแอร์ก็แสนจะเย็นฉ่ำสบาย บรรยากาศน่านอน..อิอิ.. และก็มั่นใจแล้วว่าท่านอาจารย์อายุได้ไปแน่...ชัวร์)

            และแล้ววินาทีชีวิตก็มาถึงท่านอาจารย์อายุ ผ่านการตรวจสอบและได้ไปออสเตรียสมใจ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นรอยยิ้มอิ่มใจของท่านอาจารย์ เป็นรอยยิ้มที่เบิกบาน และเป็นอีกครั้งหนึ่งของการต่อสู้ อาจารย์มิได้สู้เพื่อตัวเอง แต่การสู้ในครั้งนี้เป็นการสู้เพื่อประเทศชาติ เพื่อประเทศไทย เพื่อความเป็นหนึ่งด้านดนตรีบนเวทีโลก ท้ายนี้ข้าพเจ้าก็ขอเอาใจช่วยให้ท่านอาจารย์และคณะนักดนตรีของประเทศไทยมีชัยชนะ ได้เหรียญทอง เป็นเพชรน้ำเอกพราวสกาวแสง เป็นดาวอันเจิดจรัสแรงส่องฟ้า และเป็นประกายแห่งแสงส่องชีวิตของคนไร้สัญชาติ

 

จากการไปครั้งนี้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่ายังมีคนที่เดือดร้อนอีกมากมายรอบกายตัวเรา เราไม่ควรที่เพิกเฉยต่อบุคคลเหล่านั้น เพราะอะไร??? หากแต่เพราะว่าเขาก็เป็นมนุษย์เฉกเช่นเราเหมือนกัน

 


[1] บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นจากความรู้ภายในแค่กรอบสี่เหลี่ยมของห้องเรียน หากแต่เขียนขึ้นด้วยหัวใจที่มีความรัก ความหวัง และศรัทธาต่อความเป็นมนุษย์

 

หมายเลขบันทึก: 336784เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2010 18:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 19:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท