ในการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์ใหญ่ ท่านได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งประมาณว่า
...เราได้พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเรา เอ! จะเป็นไปได้หรือไม่ ? ที่เราจะพัฒนานวัตกรรมใจขึ้นมา...
- ตอนที่ผมได้ยินประโยคนี้นั้น ผมอยู่ระหว่างการทดลองฝึกเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ ทดแทน การเรียนรู้แบบเดิมที่เน้นการใช้สมองเป็นหลัก ทำนองว่า นำเข้าห้องรับแขกใจ แขวนไว้ก่อน ไม่ด่วนตัดสินด้วยสมอง
- การเรียนรู้ด้วยสมองเป็นหลักแบบเดิมนั้น ไม่ใช่ไม่ดี น่าจะใช้คำว่า ดีอยู่ แต่ไม่เพียงพอ และไม่ใช่ดีที่สุด เราจะสังเกตุเห็นว่า ถ้าเรียนรู้ด้วยสมองเป็นหลักนั้น ถ้าเรียนอย่างต่อเนื่องนาน ๆ เราจะเหนื่อยและเครียดเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่สำหรับการเรียนรู้ด้วยใจนั้น ยิ่งเรียน ใจของยิ่งวิวัฒน์
- --- แต่ปัญหามันคือ เราคุ้นชินอยู่กับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ด้วยการใช้สมองเป็นหลักมาตั้งแต่เราเข้าโรงเรียนแล้ว นานแสนนาน แต่พอต้องปรับเปลี่ยนเป็นกระบวนทัศน์การเรียนรู้ด้วยใจที่เราไม่คุ้นชินนั้น เราจะประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ทำให้เราเข้าถึงได้ยาก ไม่เห็นด้วย และกลับมาใช้แบบเดิม ๆ ที่ถนัดดีกว่า
- แรก ๆ ที่ผมฝึกนั้น เกิดผลกระทบมากมาย สิ่งใดที่ใจมันไม่รับ มันก็ลืมเอาดื้อ ๆ บางทีเราก็ดูแปลก ๆ ไป
- เมื่อเวลาผ่านมาถึงได้ทราบว่า ...จริง ๆ แล้วการเรียนรู้ด้วยใจกับการเรียนรู้ด้วยสมองมันนั้นมันอันเดียวกัน... แต่เป็นการใช้คำพูดมาอธิบายสิ่งบางสิ่งเพื่อให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่างกาลเทศะเท่านั้นเอง
- --- ถ้าพูดในทางธรรม น่าจะประมาณว่า ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา กิเลสมันก็เข้าเคลือบและครอบงำจิตเดิมของเรา จนจิตเดิมของเรากลายเป็นกิเลสเสียเองไปแล้ว เพราะฉะนั้นการใช้จิตก็คือการใช้กิเลส การใช้สมองก็คือการใช้ "สัญญา" ที่ถูกกิเลสเข้าครอบเป็น "ตัวตน" ของเราขึ้นมา การเรียนรู้ด้วยการใช้สมองก็จะโดนกิเลสเข้าแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเรียนรู้ด้วยใจหรือจิตเดิมอย่างตรงไปตรงมาที่ไม่ถูกตีความด้วยสมองนั้น ด้วยการมีสร้างและมีสติสัมปะชัญญะมากขึ้นอย่างเป็นพลวัตร ก็จะทำให้เราก้าวข้าม... ไปได้