วันนี้ ผมกับผู้บริหาร ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เราสนทนากัน และ พวกเขาได้เรียนรู้ ได้มิติใหม่ว่า ในการอบรมนั้น
“จงวัดพฤติกรรม” และอย่าไป เครียด วัดผล การรับรู้ (Post test) การสอนแบบบรรยาย ได้ผลแค่ 5% เท่านั้น การวัดผลนั้น ทำให้คนเรียนเครียด และ สิ่งที่รับรู้ ไม่ยั่งยืน การเรียนรู้สำคัญกว่ารับรู้ การ เป็น self learner จะดีกว่าดู นิสัย สำนวน พฤติกรรม ฯลฯ หลังการอบรม (เรียนรู้) จะดีที่สุด
สอนไปแล้ว ผู้เรียน เอาไปใช้ กลับมาถาม อยากรู้ต่อ กล้าคิด กล้าทำ ทำผิดก็มาถาม ฯลฯ คุณเอื้อ ต้อง ตามไป กระตุ้น ยั่ว เสมอๆ
อย่าเป็นฝ่ายอบรม ที่จัดให้คนอื่นเรียน แค่ ตนเองทำอะไรโง่อยู่หลังห้อง วิ่งเข้าวิ่งออก ฯลฯ ฝ่ายบุคคล จึงเป็นแค่ ช้อนแกง ช้อนกาแฟ ที่ไม่รับรู้ เนื้อแกง รสกาแฟเลย เป็น ซี้ปังโต้ (ภาษาจีน แปลว่า “ท้องสี่เหลี่ยม” หมายถึง เป็นปี๊ปใส่ข้าวสาร สี่เหลี่ยม แต่ ไม่เคยได้รสชาติของข้าว ส่วนคำว่า ซี้ปังเท้า คือ หัวสี่เหลี่ยม หรือ เถรตรง ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง)
ไม่ได้หายไปไหน
แต่ เข้า เว็ป ไม่ได้ครับ
นี่ตอบ มาจาก สระบุรี อำเภอวังม่วง ตำบลคำพราน
Sunfood ข้างๆไร่ปภัสรา
ตอบตอน พักเที่ยง
การวัดแบบนี้ควรตกลงกันก่อนอบรมหรือเปล่าคะ จะนำไปใช้ในองค์กรค่ะ
ตกลง กัน ก่อน ที่จะกำหนด หัวข้อ และ ตัววิทยากรครับ
เป็นแบบ เอาปัญหาเชิงพฤติกรรม ขององค์กรมาตั้ง
แล้ว หา "มุข" มาจัดการเปลี่ยนพฤติกรรมพวกเขา
ถ้าเป็นหัวข้อ พวก ทีม เรียนรู้เพื่อเรียนรู้ ฯลฯ จะง่ายหน่อย
ถ้าเป็น 5 S หรือ ระบบ ต่างๆ ก็ วัดผลทางพฤติกรรมได้ เช่น
คึกที่จะทำความสะอาด มาขอเบิกอุปกรณ์ มาถามวิธีทำความสะอาดที่ดี มาขอดูตัวอย่าง แสดงความอยากที่จะไปดูงานที่ๆดีกว่า ฯลฯ
ถ้าเป็นวิชาการ ก็ดูจาก
มาขอแบบฝึกหัดเพิ่ม มาขอดูเฉลย เอาปัญหาแบบของจริงที่จริงมาถาม ฯลฯ
ความยากในการสอนแบบนี้ คือ คนสอนต้องมี "มุข" เป็น "ดาวยั่ว" และ คิดล่วงหน้า ไป 1 step แล้ว (เตรียมของ ไว้รอแล้วด้วย .... ครูบาสุทธินันท์ คือ ตัวอย่าง คือ ครูบา จะเตรียมไว้แล้ว พอผู้เรียน มาบอกว่า อยากทำ ครูบาก็บอกว่า รอไว้แล้ว"