วันที่ 29 ม.ค. 2553 ได้มีโอกาสได้เขาฟังวิชาการที่ สสจ.ชัยนาทจัดขึ้น เรื่องการประเมินผลการปฏิบัติราชการและการเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการพลเรือน พรบ. 2551 จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะเชื่อว่าหลายๆคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ทุกคนก็ต้องได้รับการประเมิน เม.ย. 2553 นี้แล้ว พอสรุปได้ดังนี้
รอบ แรก 1 ต.ค. – 31 มี.ค.
รอบสอง 1 เม.ย. – ก.ย.
2. ประเมินอย่างน้อย 2 องค์ประกอบ คิดรวมเป็น 100 % คือ
1) ผลสัมฤทธิ์ของงาน ( ผลปฏิบัติงาน ) อย่างน้อย 70 % ( ประกาศของจังหวัดชัยนาทให้ 80 % ) ประเมินจาก
ปริมาณผลงาน คุณภาพผลงาน ความรวดเร็วหรือตรงตามเวลา หรือความประหยัดหรือความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากร ซึ่งแต่ละกลุ่ม ไม่จำเป็นต้องประเมินครบทุกข้อก็ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน เช่นบางกลุ่มลักษณะงานอาจไม่จำเป็นต้องประเมินปริมาณผลงาน แต่จะไปเน้นที่คุณภาพของผลงาน ( การวัดคุณภาพของงานมักจะวัดเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนด )
2) พฤติกรรมการปฏิบัติราชการ ( สมรรถนะ ) ตามที่ ก.พ. กำหนด( ประกาศของจังหวัดชัยนาทให้ 80 20 % )
ได้แก่
- การมุ่งผลสัมฤทธิ์
- การบริการที่ดี
- การสั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพ
- ความร่วมแรงร่วมใจ
- จริยธรรม
( เฉพาะพวกเราเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีเพิ่มมาอีก 5 ข้อ คือ การพัฒนาศักภาพคน , การดำเนินงานเชิงรุก , การคิดวิเคราะห์ , การมองภาพองค์รวม , สภาวะผู้นำ ไม่รู้ว่า ต้องเก่งกว่ากระทรวงอื่นหรืออย่างไร ถ้ายังไม่ลืมพวกเราที่เป็นพยาบาลเคยประเมินตนเองและให้หัวหน้าประเมินให้อีก ใน QA งัย ที่ทำกันไปแบบงง ๆ นั่นแหละ ให้ทำเมื่อไรก็ยังงง เพราะเป็นนามธรรมสุดๆ )
( จากที่เคยไปฟัง ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อต้นปี 2552 เขามีเพิ่มมาอีก 1 องค์ประกอบคือองค์ประกอบด้านอื่นๆ เช่นอาจเป็นงานอื่นที่ได้รับมอบหมายเพิ่มขึ้นมา แต่ปีนี้ของจังหวัดชัยนาทประกาศไว้แค่สององค์ประกอบ )
3. ในแต่ละรอบการประเมิน ผู้ประเมินและผู้รับการประเมิน ต้องมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน เกี่ยวกับการมอบหมายงานและการประเมินผลการปฏิบัติราชการ กำหนดตัวชี้วัดหรือหลักฐานบ่งชี้ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับลักษณะงาน
สำหรับการกำหนดตัวชี้วัดให้พิจารณาวิธีการถ่ายทอดตัวชี้วัดจากบนลงล่างเป็นหลักก่อน และตัวชี้วัดไม่ควรเกิน 10 ตัว
อาจารย์แนะนำว่าถ้าจะให้สวยไม่ควรเกิน 5 ตัว ( โดยเฉพาะมือใหม่อย่างสาธารณสุขชัยนาทเราซึ่งตอนนี้แต่ละก๊วนยังไม่ได้กำหนดเลยว่าจะเอาตัวชี้วัดใด ) ตัวชี้วัดที่ทำแล้วทุกคนทำได้เท่ากันหมด ก็อาจตัดทิ้งไป เพราะนำมาวัดหาความแตกต่างไม่ได้ เพราะการสร้างตัวชี้วัดต้องวัดได้ว่าใครเก่งกว่ากัน แต่ไม่ควรตั้งสูงเกินไปจนเอื้อมไม่ถึง
4. เมื่อได้ตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของงานแล้ว นำตัวชี้วัดแต่ละตัวมาโหวตน้ำหนักตามความสำคัญ ( รวมทุกตัวแล้วได้ 80 % ตามที่จังหวัดชัยนาทประกาศไว้ ) กรณีมีตัวชี้วัดมากเกินไป ถ้าโหวตน้ำหนักแล้วไม่ถึง 10 % ก็ควรตัดทิ้งไป
5. กำหนดคะแนนตามระดับค่าเป้าหมายผลการปฏิบัติงานจากตัวชี้วัด ตัวอย่างเช่น ระดับความพึงพอใจ
คะแนน 1 < 60 %
คะแนน 2 ช่วง 60 %- < 70 %
คะแนน 3 ช่วง 70 %- < 80 %
คะแนน 4 ช่วง 80 %- < 90 %
คะแนน 5 > 90 %
เป็นต้น
6. เมื่อครบเวลาที่จะประเมินนำผลปฏิบัติงานแต่ละตัวชี้วัดมาใส่ระดับคะแนนว่าอยู่ในระดับใด นำมาคูณกับน้ำหนักที่ให้ไว้ ออกมาเป็นคะแนนที่ได้
( ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่จะใช้ประเมิน , น้ำหนักที่ให้กับตัวชี้วัดแต่ละตัว , คะแนนตามระดับค่าเป้าหมาย , จะมีการเปลี่ยนระหว่างรอบการประเมินไม่ได้ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงต้องมีการตกลงระหว่างผู้ประเมินและผู้ถูกประเมินในรอบประเมินต่อไป )
7. นำ เปอร์เซ็นรวมผลสัมฤทธิ์ของงานที่ทำได้ บวกกับ เปอร์เซ็นทีได้จากการประเมินสมรรถนะ เป็นผลการประเมินที่นำมาจัดระดับ
ระดับเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติราชการของจังหวัดชัยนาทกำหนดไว้ดังนี้
ข้าราชการทั่วไป ระดับดีเด่น 90-100 %
ระดับดีมาก 80-89 %
ระดับดี 70-79 %
ระดับพอใช้ 60-69 %
ต้องปรับปรุง 50 – 59 %
ผู้ทดลองราชการ 60 % ขึ้นไป ผ่าน
น้อยกว่า 60 % ไม่ผ่าน ( ให้ปรับปรุง 1 ครั้ง )
ลูกจ้างประจำ แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1) ระดับดีเด่น 90-100 %
2) ระดับเป็นที่ยอมรับได้ 60-89 %
3) ระดับต้องปรับปรุง ต่ำกว่า 60 %
8. ผู้ประเมินแจ้งผลการประเมินให้ผู้รับการประเมินทราบเป็นรายบุคคล โดยผู้รับการประเมินลงลายมือชื่อรับทราบผลการประเมิน กรณีที่ผู้รับการประเมินไม่ยินยอมลงลายมือชื่อรับทราบผลการประเมิน ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญอย่างน้อย 1 คน ในส่วนราชการระดับกรมหรือจังหวัดนั้นลงลายมือชื่อพยานว่าได้มีการแจ้งผลการประเมินดังกล่าวแล้ว
9. ผู้ประเมินต้องประกาศรายชื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้มีผลงานประเมินราชการในระดับดีเด่นและดีมาก ในที่เปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นการยกย่องชมเชย และสร้างแรงจูงใจให้พัฒนาผลการปฏิบัติราชการในรอบการประเมินต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
10. ผลการประเมินจะนำมาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นตามขั้นตอนและการจัดสรรเงินตามวงเงินที่ใช้ในการเลื่อนขั้นเงินเดือนในแต่ละรอบ ทำให้มีความแตกต่างจากแบบเดิมเพราะแต่ละคนมีการเพิ่มเงินเดือนในเปอร์เซ็นที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผลงานว่าทำตามตัวชี้วัดได้ดีหรือไม่
เอาละเมื่อทราบกันอย่างนี้เรามาตั้งใจกันทำงานให้มากขึ้นดีกว่า แต่ผ่านมา 4 เดือนแล้วเรายังไม่ทราบตัวชี้วัดที่จะถูกประเมินเลย ปีนี้จะได้เงินเดือนขึ้นไหมหนอ ? ไม่เป็นไรหมั่นทำความดีเอาไว้ เพราะสวรรค์มีตาจริงนะ.......
BY KACHAPORN
สรุปได้สุดยอดเลยค่ะ ขอแจมนิดเดียว คือองค์ประกอบด้านอื่นๆ เช่นงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย หรือ งานที่ไม่ใช่หน้าที่เราโดยตรง อาจารย์ท่านแนะนำให้ระวัง เพราะหากใครที่ทำงานในหน้าที่ดี มีคุณภาพอยู่แล้ว ไปดึงงานอื่นๆ มาพิจารณาด้วย หากงานอื่นๆ ผลงานไม่ดีเท่างานในหน้าที่ ผลการประเมินอาจจะต่ำลงได้ และในเรื่อง การประเมินสมรรถนะ ก็ต้องดูอย่างผู้ปฏิบัติ เขาจะเลิศด้านสภาวะผู้นำได้อย่างไร? เป็นหน้าที่ของผู้ประเมินพิจารณาด้วย...พวกเราไม่ต้องกังวลไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ประเมิน และผู้มีอำนาจท่าน พวกเรามีหน้าที่แค่ตั้งใจทำงานให้มีคุณภาพกันดีกว่า(ขยันอย่างเดียวไม่พอนะ) /By Jan
สรุปได้ดีครับ อีกสักพักเราคงจะลงรายละเอียดกัน ต้องเชิญทุกคนมาช่วยคิดครับ / boss
ขอเข้ามาอ่านครับ
คงต้องทำความเข้าใจแล้ว รีบทำเลย
อนุเทพ
ลองทำแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติราชการแล้วก็งงๆ คือต้องผ่านระดับ 1 ทุกข้อก่อน แล้วจึงจะประเมินระดับ 2 ได้ แต่ระดับ
C 7 ต้องผ่าน 2 ระดับ แต่ระดับ 1 ในหัวข้อมุ่งผลสัมฤทธิ์ เราประเมินว่าเรามาสายไม่ตรงเวลามันก็ไประดับ 2 ไม่ได้ แล้วผลจะเป็นอย่างไรต้องโกหกไปหรือ
พยายามทำความเข้าใจ แต่...ก็ยังงงงงง
อ่านบทความแล้วพอจะเข้าใจ แต่ก้ยังสงสัยตัวชี้วัดว่าในจุดงานของเรามี5ตัวเท่ากันแล้วใครจะได้มีผลงานเด่นกว่ากัน
ตามความเข้าใจเราทำตัวชี้วัดเพื่อเพิ่มศักยภาพตัวเองเหมือนกับคนที่ไม่ค่อยทำงาน(เช้าชามเย็นชาม นายไม่อยู่ตูหลบ)ก็จะขยันขึ้นและสร้างความสามัคคี คือถ้าเราร่วมแรงร่วมใจกันผ่านตัวชี้วัดแน่นอน