วันนี้มีพิธีปล่อยแตนเบียนสำหรับเพลี้ยแป้งสีชมพูที่ทำลายมันสำปะหลังที่มูลนิธิมันสำปะหลัง ต.ห้วยบง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา การปล่อยแตนเบียนในสภาพธรรมชาตินี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากการปล่อยครั้งแรกที่ศวร.ระยองเมื่อธันวาคม52 ซึ่งครั้งนั้นการปล่อยปรสบความสำเร็จอย่างมากเนื่องจากแตนเบียนสามารถอยู่และขยายพันธุ์ได้ในสภาพธรรมชาติ การปล่อยวันนี้เป็นการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งสีชมพูในมันสำปะหลัง
ก่อนอื่นขอแนะนำเพลี้ยแป้งที่เป็นปัญหาในมันสำปะหลัง จากข้อมูลที่นักวิจัยของกรมวิชาการเกษตรเผยแพร่ ปัจจุบันมีอย่างน้อย 4 ชนิด
1. เพลี้ยแป้งลาย ลำตัวรูปไข่ ค่อนข้างยาวรี ผนังลำตัวสีเทาเข้ม มีไขแป้ง (mealy wax) สีขาวปกคลุมลำตัว ด้านข้างลำตัวค่อนข้างเรียบ ปลายส่วนท้อง มีเส้นแป้งยาว 2 เส้น มีเส้นยาวใส คล้ายเส้นไหมด้านบนลำตัว |
|
2. เพลี้ยแป้ง Jack Beardsley ลำตัวรูปไข่ ค่อนข้างแบน ผนังลำตัวสีเทาอมชมพู มีไขแป้ง (mealy wax) สีขาวปกคลุมลำตัว ปลายส่วนท้องมีเส้นแป้งยาวกว่าเส้นแป้ง ด้านข้างลำตัว - ด้านข้างลำตัวมีเส้นแป้งเรียงกันจำนวนมาก |
|
3. เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีเขียว ลำตัวรูปไข่ค่อนข้างยาว ผนังลำตัวสีเขียวอมเหลือง มีไขแป้ง (mealy wax) สีขาวปกคลุมลำตัว เส้นแป้งบริเวณปลายส่วนท้อง ยาวกว่าเส้นแป้งด้านข้างลำตัว ด้านข้างลำตัวมีเส้นแป้งสั้นๆ |
|
4. เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู ลำตัวรูปไข่ ผนังลำตัวสีชมพู มีไขแป้ง (mealy wax) สีขาวปกคลุมลำตัว เส้นแป้งบริเวณปลายส่วนท้อง ค่อนข้างสั้น ด้านข้างลำตัวอาจจะปรากฏเส้นแป้งสั้นๆ หรือบางครั้งอาจจะไม่ปรากฏเลย |
เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู เป็นตัวอันตรายที่สุด มีรายงานว่าพบระบาดในปี 2551 ทำให้มันสำปะหลังยอดหงิก เสียหาย ผลผลิตลดลงหากทำลายในระยะไม่เกิน 3-4 เดือน อาจทำให้ไม่ได้ผลผลิต การทำลายในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวผลผลิตอาจไม่ลดลงมาก แต่จะมีผลต่อท่อนพันธุ์หากนำไปปลูกต่อ
การป้องกันกำจัดด้วยงานวิจัยปัจจุบันแนะนำให้มีการแช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูก เน้นว่าแช่ ไม่ไช่ชุบ หรือเอายาพ่น เพราะไม่สามารถป้องกันอย่างได้ผล
ซ้ายไม่แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีที่แนะนำ ส่วนขวาแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมี
การแช่ท่อนพันธุ์ ด้วยสารฆ่าแมลง 5-15 นาที
1.thiamethoxam อัตรา 4 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
2.imidacloprid อัตรา 4 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
3.dinotefuran อัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
การใช้สารฆ่าแมลงประเภทพ่นทางใบ
1. thiamethoxam อัตรา 4 กรัม /น้ำ 20 ลิตร
2.dinotefuran อัตรา 20 มล/น้ำ 20 ลิตร
3.prothiofos อัตรา 50 มล/น้ำ 20 ลิตร
4. pirimiphos methyl อัตรา 50 มล/น้ำ 20 ลิตร
5. thiamethoxam/lambdacyhalothrin(Eforia 247 ZC 14.1/10.6 % ZC) อัตรา 10 มล/น้ำ 20 ลิตร
หรือใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่งลดอัตราลงครึ่งหนึ่งผสมกับ white oil (Vite oil 67%EC) อัตรา 50 มล/น้ำ 20 ลิตร โดยผสมไวท์ออยล์ในน้ำเพียงเล็กน้อยใช้ไม้กวนให้เข้ากัน เติมสารฆ่าแมลงแล้วเติมน้ำให้ครบที่กำหนด –ใช้น้ำ 80 ลิตร/ไร่
การผสมสารเคมีเพื่อให้การฉีดพ่นมีประสิทธิภาพ ควรผสมสารในน้ำเพียงเล็กน้อบก่อนผสมน้ำจนได้ครบจำนวนจะทำให้สารเคมีละลายหรือผสมเข้ากันได้ดี ส่ม่ำเสมอ
แนวทางการป้องกันกำจัด
ในพื้นที่ที่ยังไม่พบการระบาด ควรป้องกันดังนี้
1 ใช้ท่อนพันธุ์สะอาด
2 เก็บซากพืชออกจากแปลง ไถพรวนหลายๆครั้ง และตากดินอย่างน้อย 14 วัน
3 แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารฆ่าแมลงที่แนะนำ
4 ตรวจแปลงสม่ำเสมอทุก 2 สัปดาห์
ในพื้นที่ที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้ง
1 หลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูแล้ง
2 ไถพรวนดินหลายๆ ครั้ง ตากดินอย่างน้อย 14 วัน
3 แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีที่แนะนำ
4 ต้องตรวจแปลงทุก 14 วัน ถ้าพบระบาดรุนแรง ในมันอายุ 1-4 เดือนไม่รุนแรงให้ตัดยอดแล้วพ่นบริเวณที่พบรุนแรงให้ถอนทิ้งทั้งหมดแล้วทำลายนอกแปลง
5 ถ้าพบการระบาดในมันอายุ 4-8 เดือนให้ตัดยอดหรือถอนต้นที่พบนำไปทำลายนอกแปลงและพ่นสารบริเวณที่พบและรัศมีโดยรอบทันที
6 ถ้าพบการระบาดในมันอายุมากกว่า 8 เดือน ควรเก็บผลผลิต ตัดต้นทิ้งนำไปทำลาย ทำความสะอาดแปลงปลูกพืชอื่น เช่น ข้าวโพด อ้อย ข้าวฟ่าง ทานตะวัน พืชตระกูลถั่ว
ข้อจำกัดของการป้องกันกำจัด
–เกษตรกรใช้สารไม่ถูกชนิด
–อัตราการใช้สารไม่ถูกต้อง(ต้องใช้อัตราพ่น 80 ลิตร/ไร่)
–ขาดเทคนิคการพ่นสารที่ถูกต้อง(ควรพ่นหงายหัวฉีดขึ้น)
–เกษตรกรไม่มีการแช่ท่อนพันธุ์
–การป้องกันกำจัดไม่ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก
–ก่อนเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์ต้องพ่นหรือแช่ด้วยสารเคมีก่อนเคลื่อนย้าย
การควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังโดยชีววิธี เป็นการควบคุม ไม่ใช่การกำจัด
1. ตัวห้ำเพลี้ยแป้ง: แมลงช้างปีกใส ด้วงเต่าตัวห้ำ ผีเสื้อหางติ่ง
2. แตนเบียน : แตนเบียนท้องถิ่น แตนเบียนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังชนิดสีชมพู
ภาพแตนเบียนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังชนิดสีชมพู เป็นศัตรูธรรมชาติที่นำมาใช้ในการควบคุม
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบ้านเราคงจะสามารถควบคุมได้และก็มีสัญญานเช่นนั้นแล้ว เอาใจช่วยทุกคนที่มีส่วนร่วมและเกี่ยวข้อง
ที่พบ ที่ชัยภูมิ
ตอนนี้ระบาดแรงมากไปทั่ว ลองคุยกันในกลุ่มที่กำลังจะปลูกในเดือนนี้เดือนหน้า
ก็มีการถามกันว่าจะเอายังไง เพราะยังหาวิธีแก้ไขเรื่องเพลี้ยไม่ได้เลย
ก็เลยลงความเห็นกันว่า
1 วัดดวง...ซึ่งคาดว่าต้องเจ๊งแน่นอน แต่มีบางคนก็จะลุยทำเพราะไม่มีทางเลือก (ไม่มีอะไรทำ)
2.ลองแช่ท่อนพันธืก่อนปลูกแล้ววัดดวง ...ซึ่งค่อยไปแก้ปัญหาเอา หากมีการระบาด และเตรียมสารเคมีไว้ลุยกับเพลี้ยถ้ามีการเริ่มระบาดเข้าในแปลง
แต่ทั้งสองแนวทางก็มีความเสี่ยงเจ๊งพอๆกัน เพราะบางแปลงที่อยู่ในระแวกเดียวกัน ติดกันก็มี ที่ระบาดหนักก็ไม่ยอมไถทิ้งเพราะเสียค่าไถ ก็เลยกลายเป็นที่แหล่งเพาะเชื้อไป
ไม่ทราบว่าพอจะมีแนวทางที่ proff แล้ว + ทดสอบแล้ว ว่าได้ผลที่จะแนะนำใหมครับ
จริงๆใมมีใครอยากใช้สารเคมีเลยเพราะดูว่าจะอันตราย เปลืองและได้ผลขนาดใหนก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ผลจริง ก็คงเสร็จทั้งมัน + ทั้งคน
ส่วนการควบคุมด้วยแมลงที่ว่า คงไม่ไหวเพราะ พื้นที่ระบาดมันทุกแปลง จำนวนมาก แมลงคงโต-ขยายไม่ทันการณ์ และหากมีบางแปลงที่อดใจไม่ไหวพ่นเคมีเลย แมลงที่ว่าก็จอดไปพร้อมกันเลย
ไม่ทราบว่าพอจะมีแนวทางที่ proff แล้ว + ทดสอบแล้ว ว่าได้ผลที่จะแนะนำใหมครับ
ขอบคุณมากครับ
แนวทางที่ proff แล้ว + ทดสอบแล้ว ว่าได้ผลที่จะแนะนำกรมวิชาการเกษตรแนะนำอยุ่ตามข้างบนนี้ แต่แมลงมีวงจรชีวิตค่อนข้างสั้น การใช้สารเคมีประเภทเดียวกันซ้ำ ๆ ก็มีโอกาศดื้ดยาได้ วิธีที่ได้ผลตอนนี้ คือแช่ท่อยพันธฺุ์ด้วยสารเคมีก่อนปลูก และขยับฤดูปลูกให้เข้าไกล้ฤดูฝน เพราะฝนควบคุมแมลงได้ หากเพลี้ยไม่เข้าทำลายในช่วงแรกจนถึง 6 เดือนผลผลิตก็จะเสียหายน้อยกว่าการทำงายในช่วงปลูก-4 เดือน และตอนนี้เรราก็รอคอยการผลผิตแตนเบียนเพื่อให้การควบคุมโดยธรรมชาติทำงาน
ยาที่ใช้แช่ตันพันธุ์ปอ้งกันเพลี้ยแป้งก่อนปลูกใช้อะไรครับและหาซื้อได้ที่ไหนราคาแพงหรือเปล่าครับกำลังจะปลูก
การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งก่อนปลูกจำเป็น ประมาณ 5-15 นาที
สารฆ่าแมลง หาซื้อได้ตามร้านขายสารเคมีเกษตร ดูชื่อสามัญ เปอร์เซ็นต์สารออกฤทธิ์ให้ถูกต้อง เลือกชนิดใดชนิดหนึ่ง ตันท่อนพันธุ์เป็นท่อนสั้นๆ ก่อนแช่ ผสมน้ำพอประมาณแช่ได้หลายครั้งพอน้ำยาพร่องจึงผสมเติมใหม่ ไม่ควรผสมครั้งละมาก ๆ
เวลาคิดราคาต้องคิดต่อไร่ที่ใช้
ยาแพงใช้น้อย ยาถูกใช้มาก ต้องเปรียบเทียบให้ดี
1.ไทอะมีโทแซม 25% WG (thiamethoxam) อัตรา 4 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
2.ไดโนทีฟูเรน 10% WP (dinotefuran) อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร