ผมได้อ่านหนังสือของคุณสมิต อาชวนิจกุล และชอบบทความเรื่องการสอนคนรุ่นหลังของจีนให้ช่วยเหลือผู้อื่นทำความดี สนับสนุนผู้อื่นให้เป็นผู้มีความดีพร้อม ชี้ทางให้ผู้อื่นทำความดี จนถึงรักผู้อื่นดุจรักชีวิตตนเอง
ปรัชญาสังคมที่สามารถแทรกซึมอารมณ์และความรู้สึกของคนเรา ขณะกำลังกระทำกิจกรรมหลายหลากทางสังคม
ความรักผู้อื่นนั้นมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างคนสองคน หรือกลุ่มคนที่พบปะและร่วมพึงพอใจที่จะมีกิจกรรมยามว่างในสภาพแวดล้อมหนึ่งเดียวกัน
เมื่อมองโดยภาพรวมของความรัก คนเราทุกเราต้องการความรักจากบุคคลรอบข้าง หากทว่าน้อยคนนักที่จะย้อนระลึกถึงความรักที่ตนเองมีให้กับผู้อื่น
มนุษย์คือสัตว์สังคม แต่ความรักตนเองมากกว่ากับผู้อื่นนั้นไซร์เป็นเรื่องธรรมชาติและความเป็นจริงของพัฒนาการทักษะทางสังคม การเลือกที่จะคบคนหรือกลุ่มคนที่มีการแลกเปลี่ยนการกระทำกิจกรรมแห่งความดีงามและความจริงใจ ตรงกับธรรมะที่ว่า “ทำดี ดิดดี พูดดี และได้ดีโดยมิได้คาดหวัง เป็นสิ่งดี”
หลายครั้งเหลือเกินที่ผมได้ฟังเสียงญาติที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ ท่านเหล่านั้นมีความผูกพันกับลูกหลานที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ความห่วงใยดังกล่าวพยายามกลั่นกรองความนึกคิดก่อนจะเกิดการพรากจากลูกหลานอันเป็นที่รัก “ดูแลตนเองดีๆนะ ฉันอยากจะรักและดูแลเธอต่อไปโดยที่ไม่อยากจากไปเลย” เสียงร้องไห้ต่อการอำลาจากเกิดขึ้นทุกครั้งไป เมื่อคนเราพบกันเป็นครั้งสุดท้ายของสองชีวิต
สุดท้ายผมก็ได้ข้อคิดที่ว่า “แม้ว่าร่างกายคนเราจะสิ้นไปจากโลกนี้ แต่ความดีงามของคนเราจะยังคงอยู่ในจิตใจของผู้อื่นที่รักคนเรานั้น”
นั่นคือ เมื่อใดก็ตามที่เราทุกคนมีสุขภาพกายและจิตที่สมบูรณ์ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการถ่ายทอดความรักในรูปแบบของพฤติกรรมที่ดีงาม ให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่จะกระทำกิจกรรมที่มีคุณค่า และพัฒนาความรู้สึกที่ดีงามต่อกันอย่างมิรู้ลืมในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราทุกคน
กิจกรรมทางสังคมที่ดีมีมากมาย หากเราทุกคนรู้จักเลือกและบันทึกความดีงามผ่านจุดมุ่งหมายของการทำกิจกรรมนั้น แล้วเราจะเข้าว่า กิจกรรมรักผู้อื่นเป็นกิจกรรมหนึ่งที่บำบัดความทุกข์ใจได้อย่างยิ่งครับ
Thank you krab Khun Kajit. It is easier and friendly in using the version II krab.
POP:)