หลังจากเขียนบันทึกเรื่อง ลงโทษด้วยเมตตา ผมหวนคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งเกือบ 20 ปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่ลูกชายผมยังเรียนชั้นประถม เขาชอบนั่งหลังห้อง และคุยกับเพื่อนในขณะที่ครูกำลังสอน ครูเรียกให้ออกไปยืนคาบไม้บรรทัดหน้าชั้นทั้งสองคน จะได้ไม่ต้องคุยกัน และจะได้หลาบจำ
เขากลับมาเล่าให้ฟังระหว่างอาหารเย็นที่บ้าน ครอบครัวเราคุยกันแล้วเห็นว่าเป็นการลงโทษแบบ “ประจานเด็ก” แต่ก็เอาเถอะ ครูอาจ “ไม่ทันคิด” ว่าการทำเช่นนั้นอาจก่อให้เกิด บาดแผลทางใจ ต่อเด็กที่ได้รับการลงโทษ
ผมเชื่อว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่เติบโตมาโดยไม่มีบาดแผลทางใจ เราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ ล้วนผ่านเหตุการณ์มากมายทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ที่กระทบกระเทือนจิตใจ แล้วสะสมไว้ในจิตใต้สำนึก กระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของเรา
เมื่อผู้ใหญ่อย่างเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจึงระมัดระวังมากขึ้น ประณีตขึ้นในการปฏิบัติต่อเด็ก หรือต่อผู้ใหญ่ด้วยกัน โดยเฉพาะในครอบครัว ในที่ทำงาน รวมไปถึงในชุมชน ในสังคมด้วย
ผมเชื่อว่าความประณีตในการสื่อสารสัมพันธ์กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องอาศัยการเข้าใจ เรื่องนี้อย่างลึกซึ้งลงไปในระดับความรู้สึก ไม่ใช่แค่ความรู้ในเชิงเหตุผลผ่านหัวหรือความคิดเท่านั้น
กรณีนี้ครอบครัวเราเข้าใจ ลูกผมเข้าใจและให้อภัยครูได้แล้ว เราก็จบแค่นั้น เราก็แก้ไขในส่วนของเรา นั่นคือ ต่อไปก็พยายามฝึกให้มีสมาธิกับการฟัง การฟังอย่างใส่ใจ สบตาผู้พูด ไม่ทำอย่างอื่นขณะฟัง ทั้งหู ตา และใจอยู่กับผู้พูด นอกจากทำให้เราได้รับรู้ความหมายที่เขาต้องการสื่ออย่างลึกซึ้งแล้ว ยังเป็นการให้เกียรติให้ความเคารพต่อผู้ที่กำลังพูดกับเราด้วย
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
21 มกราคม 2553
บาดแผลทางใจ..ตัวร้ายแรงที่หากผู้ไม่ใส่ใจหรือละเลยในรายละเอียด
จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก หากเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพกพาความเจ็บปวด
สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เลย คือ อัตลักษณ์แห่งตน
พัฒนาการในวัยเด็กจะทำให้เกิดเป็นอัตลักษณ์แห่งความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว
คำพูดไม่กี่คำ การกระทำที่มิได้ไตร่ตรอง บางที..เราอาจพลาดทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ในชีวิตของเขาก็ได้