การแก้ปัญหาที่สาเหตุ
Solving the Primary Cause of Problems
วิจิตร อาวะกุล ได้จำแนกปัญหาขององค์การไว้สิบเอ็ดประการว่า ปัญหาที่องค์การเผชิญอยู่และมีความจำเป็นต้องจัดการฝึกอบรม มีดังนี้คือ
1) ความเฉื่อยชาในการทำงานของบุคคล
2) การไม่ยอมพัฒนาตนเอง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่ เป็นต้น
3) การไม่อุทิศกำลังและเวลาให้แก่การทำงาน
4) การเห็นแก่ตน พวกพ้อง ไม่เป็นธรรม ทุจริต คอร์รัปชั่น
5) ไม่มีหัวคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ พัฒนาการทำงาน
6) รับคนทำงานเพิ่ม เพิ่มงบประมาณ แต่งานไม่เพิ่ม
7) สัมพันธภาพระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ดี
8) มีความหวาดระแวง สงสัยซึ่งกันและกัน ไม่กล้าพูดความจริงต่อกัน
9) ต่างคนต่างทำงาน มีความขัดแย้งกัน งานซ้ำซ้อน ไม่ประสานงานกัน
10) ไม่ได้ทำงานตามวัตถุประสงค์ หรือไม่ตรงวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน ขาดการทบทวนเป้าหมายวัตถุประสงค์
11) ใช้คนไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ ใช้คนความรู้ความสามารถสูงทำงานต่ำ หรือให้ประจำอยู่เฉย ใช้คนมีความรู้ความสามารถต่ำทำงานสูง ทำงานสำคัญ
ปัญหาเหล่านี้ต้องการการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น (วิจิตร อาวะกุล: 2540, 4)
ตามวิถีชาวพุทธ เราได้รับการสอนเสมอถึง “การดับทุกข์ที่เหตุแห่งทุกข์” ตามหลักธรรมนี้ผู้เขียนนำมาประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหาด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การแก้ปัญหาตามตามหลักธรรมนั้นมิได้แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หากแต่ต้องค้นหาและระบุถึงสาเหตุแห่งปัญหา การวิจัยจำแนกแจกแจงให้เห็นเด่นชัดว่าเหตุแห่งปัญหาและความยุ่งยากที่เกิดขึ้นนั้น มันมาจากต้นเหตุใด อีกทั้งอาจยังต้องมองย้อนขึ้นไปที่ต้นทางอีกว่า สาเหตุของสาเหตุนั้นคือสิ่งใด จึงถือได้ว่าเป็น “การดับทุกข์ที่เหตุแห่งทุกข์”
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำวิจัย (การวิเคราะห์และการประเมินความสามารถ) เพื่อหาสาเหตุแห่งปัญหาคือ การรู้ถึงสาเหตุอันจะนำไปสู่ปัญหาและเตรียมการป้องกัน หรือมิเช่นนั้นก็คือ การรู้ถึงต้นเหตุของปัญหาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงสิ่งอันไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้น จากปัญหาที่องค์การเผชิญอยู่และมีความจำเป็นต้องจัดการฝึกอบรมดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาจล่วงรู้ถึงเหตุแห่งปัญหาด้วยการวิเคราะห์ปัญหา การทำวิจัยเพื่อหาสาเหตุของปัญหา และจัดการกับต้นเหตุของปัญหาเหล่านั้น
แนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาที่หนังสือเล่มนี้ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นก็คือ การจำแนกองค์ประกอบของเหตุแห่งปัญหาด้านบุคคล ซึ่งมีสาเหตุมาจากองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง หรืออาจเป็นหลายองค์ประกอบร่วมกัน โดยองค์ประกอบทั้งสามก็คือองค์ประกอบของความสามารถ (Competency Component) อันได้แก่ ความรู้ (Knowledge) , ทักษะ (Skill) , และทัศนคติ (Attitude) นั่นเอง ทั้งนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างปัญหาด้านบุคคลขององค์การ ดังนี้
ความเฉื่อยชาในการทำงานของบุคคล ปัญหานี้ดูเผิน ๆ อาจเหมือนกับองค์การได้คนไม่มีคุณภาพมาทำงาน หากทำการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ แท้จริงแล้ว ถ้าคนที่ “ได้มา” หรือ “มีอยู่” เป็นพนักงานที่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง (Competency-based Position Fit) ตามกระบวนการที่เราทุ่มเททำกันมา ปัญหาด้านความเฉื่อยชาในการทำงานของบุคคลย่อมเกิดจากสาเหตุทางด้านทัศนคติอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาดังกล่าวต้องมุ่งแก้ไขที่ทัศนคติของพนักงานคนนั้น ๆ มิใช่ไปดำเนินการแก้ไขด้วยการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงความสามารถทางด้านความรู้ หรือพยายามปรับปรุงความสามารถทางด้านทักษะ หากทำเช่นนั้น นอกจากจะไม่บรรลุผลสำเร็จในการแก้ปัญหาแล้ว ยังถือเป็นการเสียโอกาสการทำงานของฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ลงไปในการแก้ปัญหาแบบ “เกาไม่ถูกที่คัน” ทางที่ดีที่สุด เมื่อระบุได้อย่างแน่ชัดว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความบกพร่องเกี่ยวกับความสามารถทางด้านทัศนคติ ก็ดำเนินกระบวนการเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติให้เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมั่นใจได้ว่า กระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดผลได้จริงต่อคน ๆ นั้น ทั้งนี้ ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงประเด็นนี้เพิ่มเติมในหัวข้อการจูงใจเพื่อการปรับปรุงผลงาน (Performance Improvement Motivation) ในขั้นตอนที่ห้า กระบวนการพัฒนาอาชีพ (Career Development Process)
การไม่ยอมพัฒนาตนเอง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่ ปัญหานี้ก็เป็นปัญหาทางด้านทัศนคติ ตามกระบวนการที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอ นั่นเพื่อการ “ได้มา” หรือ “มีอยู่” ของพนักงานที่มีความสามารถ (Competent Employee) ซึ่งมิได้การันตีถึงการเป็นคนใฝ่เรียนรู้ของคน ๆ นั้น การเป็นคนใฝ่เรียนรู้และพัฒนาตนเองเป็นผลมาจากอุปนิสัยที่ถูกขับเคลื่อนด้วยทัศนคติ การดำเนินการเพิ่มพูนความสามารถทางด้านความรู้ด้วยการฝึกอบรม อาจทำให้เขารู้วิธีการในการพัฒนาตนเอง แต่มันก็จะไร้ประโยชน์หากเขาไม่ลงมือทำ ฉะนั้น การทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีพัฒนาตนเองจะต้องควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เหมาะสมให้แก่เขา จึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงประเด็นนี้เพิ่มเติมในหัวข้อการจูงใจเพื่อการเพิ่มพูนความสามารถ (Competency Increase Motivation) ในขั้นตอนที่ห้า กระบวนการพัฒนาอาชีพ (Career Development Process)
การไม่อุทิศกำลังและเวลาให้แก่การทำงาน ปัญหานี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการขาดทัศนคติที่ดีในการทำงาน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับบุคคลที่ขาดแรงจูงใจในการทำงาน แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าปัญหานี้เกิดจากการ “ได้มา” หรือ “มีอยู่” ของคนไม่มีคุณภาพ กระนั้นแล้ว จำเป็นเหลือเกินที่ต้องกำจัดเนื้อร้ายนี้ออกไปจากองคาพยพขององค์การ ทั้งนี้ การไม่อุทิศกำลังและเวลาให้แก่การทำงานอันเป็นผลมาจากการขาดแรงจูงใจในการทำงาน สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ประกอบกับการสร้างแรงจูงใจในการทำงานด้วยเงื่อนไขความมั่นคงในอาชีพ (Career Security) กับเงื่อนไขเส้นทางความเจริญในอาชีพ (Career Path) ซึ่งจะกล่าวต่อไปในหัวข้อการจ้างงานตลอดชีพสำหรับพนักงานที่มีความสามารถ (Life-long Employment for Competent Employee) ในขั้นตอนที่ห้า กระบวนการพัฒนาอาชีพ (Career Development Process)
การเห็นแก่ตน พวกพ้อง ไม่เป็นธรรม ทุจริต คอร์รัปชั่น ประเด็นปัญหาเหล่านี้ การแก้ปัญหาด้วยการฝึกอบรมแทบไม่มีความหมายเลย สำหรับบุคคลที่คุณภาพทางจิตตกต่ำกลุ่มนี้ แม้กระนั้น ผู้เขียนขอจำแนกแยกแยะมูลฐานความผิดออกเป็นเรื่อง ๆ เพื่อความชัดเจนในการวิเคราะห์ ให้ความหมาย และวิธีการแก้ไข
การเห็นแก่ตน ดูจะเป็นเรื่องที่เบาสุดในขบวนปัญหากลุ่มนี้ ในทางจิตวิทยา ความเห็นแก่ตัวสามารถเชื่อมโยงได้กับเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ในการแสวงหาทางอยู่รอด ตลอดจนมันบำบัดแรงขับความต้องการของแต่ละคน ดังนั้นความเห็นแก่ตัวจึงมิใช่เรื่องแปลก เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีกันเป็นปกติ แต่จะจัดการอย่างไรให้มันถูกขับดันออกมาอย่างเหมาะสม ไม่ก้าวล่วงเลยละเมิดต่อขอบเขตของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์การ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่ลงรอยกันของสมาชิกในองค์การ อันมีผลต่อการทำงานเป็นทีม (Teamwork) รวมไปถึงมันเป็น “กระสุนกระทบแตก” สร้างความเสียหายต่อความไว้วางใจ (Trust) และการผูกมัดในเป้าหมายองค์การร่วมกัน (Commitment) อย่างไรก็ตาม มันสามารถถูกแก้ไขด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ และการสร้างกิจกรรมร่วมกันของสมาชิกองค์การเพื่อความสามัคคี ซึ่งเป็นการยืนยันการผูกมัดเป้าหมายที่มีร่วมกัน
การเห็นแก่พวกพ้องและความไม่เป็นธรรม เป็นผลพวงมาจากทัศนคติไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์และการแบ่ง “สี” แบ่งพวกกันภายในองค์การ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วในขั้นตอนที่สอง (Using Identifying Competency in Recruitment & Selection Process / Staffing System) มันเป็นการทำลายการผูกมัดเป้าหมายร่วมกัน (Commitment) ในทางอ้อม เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนขยายกลายเป็นการแบ่งขั้วอำนาจทางการเมืองในองค์การ การฝึกอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ ดูจะสายเกินไปสำหรับการแก้ปัญหา และถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง ควรเริ่มที่การก่อร่างสร้าง (Forming) องค์การที่ปฏิเสธระบบอุปถัมภ์พรรคพวกจนเกิดการแบ่ง “สี” แบ่งพวกในองค์การ และดำเนินการคัดเลือก บรรจุแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่งบุคคลโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความสามารถ (Competency-based) การปราศจากระบบพรรคพวก จะนำพา ความเป็นธรรม มาสู่กระบวนการภายในขององค์การ รวมไปถึงการบำเหน็จ-ลงโทษที่ชัดเจนและเป็นธรรม จะนำพา ความเป็นระเบียบ และ ขวัญกำลังใจที่ดี ของพนักงาน เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกในองค์การมีความเคลือบแคลงสงสัยต่อความเป็นธรรมภายในองค์การ องค์การนั้นไม่วันเติบโตเป็นองค์การที่แข็งแกร่งได้ หรือหากแข็งแกร่งดีอยู่แล้ว มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
สำหรับการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วยการฝึกอบรม การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นความล้มเหลวในวัยเด็กจนโตของกระบวนการกล่อมเกล่าทางสังคม (Socialization) ต่อคน ๆ นั้น ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะทางจิตไม่พึงประสงค์ เรียกได้ว่าเป็นคนไร้คุณภาพ ทัศนคติของเขาต่อศีลธรรมจรรยาเป็นเรื่องที่ไร้สาระ คนประเภทนี้ไม่ควรรับเข้ามาเป็นสมาชิกขององค์การตั้งแต่แรกอย่างเด็ดขาด ถ้ากระบวนการสอบวัดทางจิตเข้มแข็งพอ จะสามารถสกัดกั้นคนประเภทนี้เอาไว้ได้
ไม่มีหัวคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ พัฒนาการทำงาน ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นพรสรรค์มากกว่าพรแสวง สิ่งเหล่านี้ติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด สำหรับคนที่มีหัวคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แค่คำพูดแนะนำเพียงไม่กี่คำ เขาก็สามารถค้นคิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพดีกว่า สร้างผลงานได้ดีกว่า หรือมีคุณภาพของงานที่ดีกว่าเดิม แต่สำหรับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จำเป็นต้องพึ่งพาการฝึกอบรม (อย่างละเอียดลออ) เพื่อช่วยชี้นำเครื่องมือ เทคนิค และวิธีการการทำงานที่ดีกว่า ซึ่งก็ต้องพึ่งพาการฝึกอบรมอยู่ตลอด เพราะเขาไม่มีหัวคิดริเริ่มสร้างสรรค์
รับคนทำงานเพิ่ม เพิ่มงบประมาณ แต่งานไม่เพิ่ม นี่ควรจะเป็นปัญหาในเชิงการบริหารงานมากกว่าเป็นปัญหาในเชิงความจำเป็นทางด้านการฝึกอบรม ปัญหาในเชิงการบริหารงานดังกล่าวอาจเกิดมาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุประกอบกันดังนี้
- ขาดการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน
- หัวหน้างานด้อยความสามารถเชิงการบริหาร
- กฎระเบียบขององค์การหย่อนยาน
- วัฒนธรรมองค์การที่ขัดแย้งกับหลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- ระบบการดำเนินงานภายในที่ไม่สมบูรณ์
- ฯลฯ
สัมพันธภาพระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ดี เป็นปัญหาด้านความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient, EQ) และทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ของผู้บังคับบัญชา อำนาจในมือผู้บังคับบัญชาเพียงอย่างเดียวไม่อาจสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ และผู้บังคับบัญชาที่ไม่อาจเข้าถึงจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ไม่อาจสร้างสัมพันธภาพที่ดีได้เช่นเดียวกัน ในประเด็นนี้อาจแก้ไขได้ด้วยการฝึกอบรมเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาและผู้เตรียมเป็นผู้บังคับบัญชาตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสัมพันธภาพระหว่างกันของคนในองค์การ ซึ่งมันส่งผลกระทบต่องาน แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกอบรมอาจมิได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างสุดขีด นั่นเพราะสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นความสามารถเฉพาะตัวของผู้บังคับบัญชาในการวางตัวและปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น ซึ่งไม่อาจสร้างได้ในระยะเวลาอันสั้นจากการฝึกอบรม
ในส่วนทักษะทางมนุษยสัมพันธ์ของผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีส่วนสำคัญต่อการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน การฝึกอบรมสามารถช่วยส่งเสริมทักษะนี้ได้ แต่อาจไม่แสดงผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมในระยะเวลาอันสั้น ดังเช่นเรามิอาจเปลี่ยนคนเห็นแก่ตัวให้เป็นคนใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นได้ในชั่วข้ามคืน เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในทัศนคติของคน ซึ่งได้รับการปลูกฝัง กล่อมเกล่า และหล่อหลอมมาอย่างยาวนาน
มีความหวาดระแวง สงสัยซึ่งกันและกัน ไม่กล้าพูดความจริงต่อกัน สภาพสุญญากาศในองค์การเหล่านี้เกิดจากการขาดความไว้วางใจต่อความเป็นธรรมและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในองค์การ ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการฝึกอบรม
ต่างคนต่างทำงาน มีความขัดแย้งกัน งานซ้ำซ้อน ไม่ประสานงานกัน สภาพทีมไม่เวิร์คนี้เกิดจากการขาดความเข้าถึงและทำความเข้าใจระหว่างกัน อีกทั้งขาดความผูกมัดต่อเป้าหมายร่วมกัน และอาจร่วมด้วยการออกแบบระบบงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการฝึกอบรมแต่เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการปฏิบัติร่วมกับการดำเนินการอย่างอื่น อาทิ การปรับโครงสร้างองค์การ การส่งกิจกรรมละลายพฤติกรรม และพยายามเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์การบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
ไม่ได้ทำงานตามวัตถุประสงค์ หรือไม่ตรงวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน ขาดการทบทวนเป้าหมายวัตถุประสงค์ การดำเนินการเพื่อจัดการกับปัญหานี้กลายเป็นการประชุมเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการมากกว่าจะเป็นการฝึกอบรม
ใช้คนไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ ใช้คนความรู้ความสามารถสูงทำงานต่ำ หรือให้ประจำอยู่เฉย ใช้คนมีความรู้ความสามารถต่ำทำงานสูง ทำงานสำคัญ นี่เป็นปัญหาในด้านความสามารถเชิงการจัดการของผู้บริหาร ซึ่งเป็นจุดบอดของการบริหารงานบุคคลแบบดั้งเดิม ทั้งในแง่การเลือกตัวผู้บริหารที่ไม่เหมาะสมเพราะ ใช้คนไม่เป็น และในแง่การเลือกใช้คนโดยมิได้อยู่บนพื้นฐานความสามารถ ซึ่งอาจแก้ไขได้ด้วยการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้และจิตสำนึกสำหรับการเลือกใช้คน แต่นั่นก็เป็นที่ปลายเหตุ แตกต่างจากการบริหารทรัพยากรมนุษย์บนพื้นฐานความสามารถที่กำหนดไว้ว่าผู้บริหารต้องมีความสามารถในการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งหมายรวมถึงคนด้วย
ดร.จักษวัชร ศิริวรรณ
ขัดแย้งกันบ่อยมาก กระทบกระทั่งกัน เนื่องมาจากงาน ที่ไม่มีการวางแผน เสียเวลา เสียกำลังใจอย่างมากค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้ว ดีขึ้นได้รับความรู้ นำไปปฏิบัติค่ะ
ููุุู
ดีใจครับ ที่ชอบและเป็นประโยชน์