Patronism in Recruitment & Selection Process
การบริหารแบบไทย ๆ เป็นเรื่องปกติในการใช้ระบบอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาคธุรกิจหรือภาครัฐกิจ บ่อยครั้งที่องค์การไทย ๆ ประกาศเปิดรับสมัครงานด้วยวิธีการสอบแข่งขัน (สอบข้อเขียน และ/หรือ สอบสัมภาษณ์) แต่ปรากฏว่า มีการวางตัวผู้ชนะการสอบไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว กระนั้นแล้ว จะจัดให้มีการสอบแข่งขันไปทำไม?.... เอา “เด็กนาย” “เด็กผู้ใหญ่” หรือ “เด็กฝาก” บรรจุเข้าทำงานไปซะเลยก็หมดเรื่อง ไปหลอกให้ความหวังแก่ “ลูกตาสีตาสา” มาเสียเงิน---เสียเวลาสอบคัดเลือก อีกทั้งเสียเวลาในการเดินทางไป-มาหลาย ๆ ครั้ง ต้องตากแดด-โหนรถเมล์-ลงเรือ-ซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เดินทางไปเข้าแข่งขันในสนามที่ตัวเองไม่มีวันชนะ องค์การแบบนี้มีอยู่จริง และดาษดื่นในสังคมไทย ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ องค์การที่บริหารแบบนี้ มักจะเป็นองค์การขนาดใหญ่ที่ได้รับความเชื่อถือจากภาคประชาชน ด้วยการเปิดกว้างในการรับสมัครสอบเข้าทำงาน เพื่อแสดงความโปร่งใส (Transparency) ในหน่วยงานของตน ตามหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) อีกทั้งยังเป็นการแสร้งแสดงความชอบธรรมให้แก่กระบวนการรับสมัครคัดเลือกบุคลากรที่สกปรกขององค์การตน
ในบางครั้งบางกรณี “เด็กฝาก” ที่ดี มีความสามารถตรงตามตำแหน่ง มีความรับผิดชอบ และตั้งใจทำงานจนสมศักดิ์ศรี “ผู้ใหญ่” ที่ฝากเข้าทำงาน นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง แต่บ่อยครั้ง “เด็กฝาก” ก็ทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ขององค์การเพราะถือว่าตนเป็นอภิสิทธิ์บุคลากร หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานต่างก็เกรงใจเป็นใบ้รับประทาน ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนในความผิดของ “เด็กฝาก” เพราะเกรงบารมี “ผู้ใหญ่” ในทางตรงกันข้าม หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานคนเดียวกันนี้ กลับว่ากล่าว---ทำโทษต่อ “เด็กเกาเหลา” ลูกตาสีตาสาอย่างรุนแรง ในฐานความผิดเดียวกันกับ “เด็กฝาก” นี่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสั่นคลอนของความเป็นธรรมในองค์การ เกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า “สองมาตรฐาน”
ในองค์การที่มีอภิสิทธิ์บุคลากรอยู่มาก การบำเหน็จ-ลงโทษที่ชัดเจน ตามหลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขั้นพื้นฐานนั้น ย่อมคลุมเครือ เช่น ในกรณีองค์การภาครัฐกิจ เมื่อถึงช่วงการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ปรากฏว่า “เด็กฝาก” ที่ลางานบ่อย---ด้อยความสนใจในการทำงาน กลับได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเท่ากับ “เด็กเกาเหลา” ที่รับผิดชอบ---ขยันทำงาน ครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่ถ้าหลาย ๆ ครั้ง ถึงแม้จะเป็นคนสติน้อย---ด้อยปัญญาขนาดไหนก็ตาม คงพอจะรู้สึกได้ว่า องค์การที่ตนอยู่นั้นขาดความยุติธรรม แล้วนี่เราจะขยันทำงานต่อไปทำไม?.... ในเมื่อขี้เกียจแบบ “เด็กฝาก” ก็ได้ขึ้นเงินเดือนเท่ากัน นี่อาจเป็นคำถามที่ “เด็กเกาเหลา” ถามตัวเอง แต่พอเขาเริ่มทำอย่างที่คิด กลับปรากฏผลในทางตรงข้าม นั่นคือ เขาถูกว่ากล่าว---ตำหนิอย่างรุนแรงต่อพฤติกรรมที่เลวลงของเขา อันเป็นเหตุทำให้หัวหน้างาน จิกหัวใช้ได้น้อยลง ในขณะที่ “เด็กฝาก” เดินลอยหน้าลอยตาในสำนักงานวันเว้นวัน (ไม่ได้เข้าสำนักงานทุกวัน) โดยแทบไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย บรรยากาศในการทำงานแบบนี้จะสร้างความเจริญให้แก่องค์การได้อย่างไร?.... แต่มีคนบางคนหรือบางกลุ่มเชื่อว่า บรรยากาศในการทำงานแบบนี้จะสร้างความเจริญเติบโต ความเข้มแข็ง และเพิ่มสมรรถนะในการแข่งขันให้แก่องค์การได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็ในความคิดของผู้บริหารองค์การที่อับปัญญา น่าสงสารองค์การประเภทนี้ ที่นับวันจะด้อยอำนาจลงในสนามการแข่งขัน และอิทธิพลบนเวทีประชาสังคม เหตุเพราะสมาชิกในองค์การที่เริ่มทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นพวก “เด็กฝาก” แบบไร้คุณภาพและความสามารถ
การรับสมัครคัดเลือกบุคลากรบนพื้นฐานความสามารถ (Competency-based Recruitment & Selection) เป็นเครื่องมือที่ปลอด “เด็กฝาก” หรืออย่างน้อยที่สุดก็ ปลอดเด็กฝากที่ไร้ความสามารถ นั่นก็เพราะความสามารถที่ตำแหน่งงานต้องการ ได้กำหนดมาตรฐานทางความสามารถที่ผู้สมัครจะต้องมี อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบอุปถัมภ์เป็นลักษณะที่เด่นชัดของสังคมไทย เกิดขึ้นในองค์การทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐกิจที่มีคนไทยเป็นผู้บริหาร ซึ่งจะมีการใช้ระบบอุปถัมภ์ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการจ้างงาน เมื่อมีการสมัครงานเกิดขึ้น ผู้สมัคร (Candidate) จะถูกเรียกเข้ารับการสัมภาษณ์ และแน่นอนที่สุดคงหนีไม่พ้นระบบเส้นสาย พรรคพวก สี หรืออะไรเทือกนี้ที่เรียกเป็นอย่างอื่น
ผู้สมัคร (Candidate) ที่ถูกเรียกเข้ารับการสัมภาษณ์ในองค์การภาคธุรกิจในประเทศไทย ผู้จัดการสรรหาว่าจ้าง (Hiring Manager) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ (Authority) โดยตำแหน่งในการตัดสินใจเลือกรับเข้าทำงาน มักพิจารณาใบสมัคร (Application) และประวัติส่วนบุคคล (Resume) โดยอันดับต้น ๆ ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่จะพิจารณาคือ วุฒิการศึกษา และสถาบันการศึกษาที่สำเร็จออกมา เป็นความจริงที่มีระบบ “สี” ในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ หรือรัฐวิสาหกิจที่ผลิตกำไรสูง (แปรรูปเป็น บมจ. กันจวนจะหมดประเทศแล้ว) รวมไปถึงในบางองค์การของภาครัฐกิจ เมื่อมีการแสวงหาบุคลากรเพิ่ม ผู้มีอำนาจหน้าที่มองหา “สีเดียวกัน” ยิ่งไปกว่านั้น หากมีความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวตามนัยของบทความ Designing and Implementing Global Staffing Systems ทั้งสองส่วนแล้ว ยิ่งเพิ่มความโน้มเอียงในการจัดสรรเจ้าหน้าที่ (Prejudice in Staffing System) นั่นทำให้เกิดการแบ่ง “สี” แบ่งพรรค แบ่งพวกในองค์การ ซึ่งทำให้เกิดความไม่ลงรอยสอดประสานกันในการทำงาน ซึ่งจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อองค์การนั้น ๆ มีการแบ่ง “สี” เป็นสองหรือสามค่ายใหญ่อย่างเข้มข้น เกิดการแข่งขันกันในการเลือกคน “สีเดียวกัน” เข้าทำงาน และกีดกัน “คนต่างสี” มิให้เข้ามาเป็นสมาชิกในองค์การ
ขอยกตัวอย่างข้อความหนึ่งจากบทความ Designing and Implementing Global Staffing Systems: Part I โดยมีใจความว่า “.....ผลของการศึกษาในเชิงนี้คือ คณะทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ทั่วโลก (Global HR Team) ที่สามารถคาดหมายปฏิกิริยาทางวัฒนธรรมของตัวผู้ขอสมัคร (Applicants) และฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เพื่อการดำเนินการแบบแผนใหม่ในอาณาเขตรับผิดชอบของพวกเขา บริษัท Agilent Technologies ใช้เพื่อเน้นผู้จัดการกลุ่มของการจ้างงาน สำหรับการตรวจสอบกระบวนการจัดสรรเจ้าหน้าที่ใหม่ …..” (Darin Wiechmann, Ann Marie Ryan and Monica Homingway : 2003, p. 73)
จากคำกล่าวที่ว่า “ระบบอุปถัมภ์คือ การปรับเลื่อนตำแหน่งแบบ เหตุผลตามคน ” หมายถึง การปรับเลื่อนตำแหน่ง (Promotion) หรือบรรจุแต่งตั้ง (Positioning) ในระบบอุปถัมภ์ จะมีการกำหนดตัวบุคคลที่ต้องการไว้แล้ว จากนั้นจึงสรรหาเหตุผลมาสนับสนุนการตัดสินใจเลือกบุคคลนั้น การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเมินเฉยต่อการพิจารณาเปรียบเทียบคุณสมบัติของผู้สมัคร (Candidate) ที่เป็นไปอย่างเหมาะสมตามแบบการรับสมัครฯ ในระบบดั้งเดิม ตลอดจนเป็นการปรับเลื่อนตำแหน่งอย่างไร้ความเป็นธรรม และขาดการคำนึงถึงผลได้ผลเสียขององค์การ ซึ่งความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจ (Morale) ของพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “คนไม่มีเส้น” กระนั้นแล้ว เป็นความเสียหายต่อองค์การอย่างยิ่งในการทำให้คนที่มีความสามารถสูง (Talent) เสียขวัญ การใช้ระบบอุปถัมภ์อย่างเอาแต่ใจของผู้มีอำนาจในองค์การ นอกจากการปรับเลื่อนตำแหน่งที่ไร้ความเป็นธรรม--- ขาดการพิจารณาจากความเหมาะสมทางความสามารถอย่างแท้จริง จะทำให้พนักงานที่มีความสามารถสูงและมีผลงานโดดเด่น (Effective Talent) ต้องเสียขวัญกำลังใจในการทำงานแล้ว ยังทำให้เกิดสุญญากาศในองค์การ กล่าวคือ การหวาดระแวงแคลงใจต่อความเป็นธรรมในการบรรจุแต่งตั้งบุคลากร แต่ไม่มีใครกล้าแสดงทัศนะอย่างเปิดเผยในเวทีสาธารณะขององค์การ บรรยากาศเช่นนี้ก่อให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก, ทำลายความสามัคคีของคนในองค์การ, บั่นทอนความไว้วางใจ (Trust) ของสมาชิกที่มีต่อองค์การ, รวมไปถึงเป็นการผ่อนคลายข้อผูกมัดระหว่างกัน (Commitment) ในการสัมฤทธิ์เป้าหมายของมวลสมาชิก ลดโอกาสความเป็นไปได้ในการบรรลุวัตถุประสงค์องค์การ (Organizational Objective / Business Goal)
อย่างไรก็ตาม การรับสมัครคัดเลือกบุคลากรบนพื้นฐานความสามารถ (Competency-based Recruitment & Selection) และการจัดสรรเจ้าหน้าที่บนพื้นฐานความสามารถ (Competency-based Staffing) ทั้งคู่เป็นเทคนิควิธี (Technique) ที่สามารถสกัดกั้นคนจากระบบอุปถัมภ์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งคนจากระบบอุปถัมภ์ที่ไม่เหมาะสมนั้นคือ การอุปถัมภ์คนที่มีความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์ (Under-qualified Competency) นั่นเอง นั่นเท่ากับว่า เทคนิควิธีทั้งสอง ต่างก่อให้เกิด “การเลื่อนตำแหน่ง คนตามเหตุผล ทางความสามารถ” และ “การบรรจุแต่งตั้ง คนตามเหตุผล ทางความสามารถ” โดยยึดหลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์บนพื้นฐานความสามารถเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้ได้คนมาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ เพื่อให้ได้คนจากระบบอุปถัมภ์ที่มีความสามารถตามเกณฑ์ (Qualified Competency)
ดร.จักษวัชร ศิริวรรณ
ไม่มีความเห็น