กลับมาตามคำมั่น อีกแล้วครับท่าน
วันอังคารที่ 5 มกราคม 2553
ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่ชาว G2K ทุกท่าน
ปีใหม่ 2553 นี้ ขอพรและบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดบันดาลให้แก่ ชาว G2K ทุกท่านได้รับพรอันนี้ครับ
เช้านี้ตื่นมาเป็นวันทำงานวันที่สองแห่งปี ทางกรุงเทพฝนก็ตก แดดก็ออก อากาศก็เย็น ลมก็พัดอ่อนๆ ทุกอย่างเกิดพร้อมกัน สงสัยท่านเทวดากลับจากฉลองปีใหม่ยังไม่หายมึน....ฮา
ผมมีภาระกิจตอน 11 โมงเช้า หากตรวจทานได้ทันจะลงบันทึกให้อ่านกันครับ แต่ถ้าไม่ทันก็จะลงบันทึกให้ในกลางคืนนะครับ
เรื่อง
วิธีทำเงินล้านจากสร้อยคอและแหวนของผู้ใช้แรงงาน
ในคราวที่แล้วผมเล่าเรื่องการทำกำไรจาก พรบ.อาคารชุด และได้บอกไว้ว่าได้ทำงานเป็นฝ่ายกฎหมายอยู่ที่ บริษัท ประมาณ 4 ปี คือทำงานแบบไม่เต็มเวลานะ ในหนึ่งสัปดาห์จะเข้าไปที่บริษัทเพียงสองวัน ยกเว้นวันที่ 15 จะต้องเข้าไปประชุมกับท่านคณะกรรมการของบริษัทด้วยทุครั้ง สองวันที่เข้าไปทำงานในตอนแรกก็เข้าไปทุกวันอังคารกับวันพุธ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นเฉพาะวันเสาร์กับวันอาทิตย์ เพราะจะมีลูกค้าเข้ามาติดต่อกับทางโครงการเป็นจำนวนมาก จากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้งานด้านการตลาดจากฝ่ายขายก็ดี การพบปะลูกค้าก็ดี หรือได้รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาในทุกด้านของบริษัท จากที่ประชุมคณะกรรมการก็ดี ทำให้ผมได้รับวิชาการบางอย่างที่ไม่สอนในมหาวิทยาลัย การเรียนรู้ของผมสามารถเห็นผลได้จาก กุศโลบาย ที่ผมได้เสนอแนะต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ในวาระเรื่องการแก้ไขการขายห้องชุดที่คงเหลืออีก 120 ห้องชุด เมื่อคราวการประชุมตอนปลายปี 2529
ห้องชุดส่วนนี้เป็นห้องชุดของโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนเทพารักษ์ ซึ่งทางบริษัทได้ก่อสร้างเป็นอาคารสูง ขนาด เจ็ดชั้น มี สองอาคาร แบ่งเป็นห้องชุดทั้งหมด 350 ห้องชุด สาเหตุที่เหลือเพราะในตอนเปิดโครงการใหม่ๆ เป็นช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวน ทางท่านเจ้าของโครงการ ให้เปิดขายเพียง 230 ห้องชุด ที่เหลืออีก 120 ห้องชุด ซึ่งอยู่ในชั้นที่ 6 กับชั้นที่ 7 ไม่เปิดขายด้วยเหตุผลว่า หากต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จะได้ปรับราคาขายทำกำไรได้ตามเป้า เหตุที่เก็บพื้นที่ชั้นบนไว้ เพราะถือเป็นชั้นที่ทำตลาดได้ง่าย แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดวิกฤติค่าเงินบาทในปี 2529 ทำให้เกิดทรัสต์ล้มบวกกับลดค่าเงินบาท สถาบันการเงินมีฐานะง่อนแง่นตลอดถึงแบงก์มีฐานะการเงินอ่อนแอ จึงทำให้ ยอดขายไม่ขยับ คณะกรรมการมีแนวคิดส่งเสริมการขาย ทั้งลด ทั้งแจก ทั้งแถม(ทีวี ตู้เย็น อะไรทำนองนี้ คนช่วยผ่อนไม่แถมต้องหาเอาเอง แฮ...) ก็นิ่งจนอ่อนใจ และได้ตกลงกันว่า หากปิดการขายไม่ได้ภายในสิ้นปี 2530 จะนำมาจัดแบ่งห้องชุดให้กับผู้ถือหุ้น(บริษัทนี้ผู้ถือหุ้นทุกท่านเป็นกรรมการบริษัททั้งหมด) เพราะได้เวลาจะชำระบัญชีแบ่งปันกำไรกัน อีกทั้งโครงการก็ขายอาคารพาณิชย์และห้องชุดส่วนแรกไปได้หมดแล้วทั้งมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าไปเกินกว่า 90 % แล้วด้วย บรรดาผู้ถือหุ้นต่างก็ต้องการแบ่งปันผลกำไรผมจึงถามในที่ประชุมว่า ทำไมๆๆ (อร่อยจัง อิอิ...) ไม่หาวิธีขายให้ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งมีโรงงานอยู่ติดกับโครงการ เฉพาะท่านผู้ใช้แรงงานที่นี้ที่เดียวก็น่าจะขายได้หมดเพราะทราบว่า ที่นี้มีพนักงานประจำประมาณ 180 คน พนักงานรายวันอีก 1,700 คน ผมยืนยันว่าเท่าที่ประเมินดูแล้วกำลังซื้อมีแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับแผนการขายเท่านั้น ส่วนแผนการขายที่ผมเสนอแนะมีอย่างไรนั้น รอเดี๋ยวครับพักดื่มกาแฟกันก่อนนะ
(ความจริงผมรับทราบปัญหายอดขายห้องชุดส่วนที่เหลือไม่ขยับนานแล้ว เพราะการประชุมคณะกรรมการทุกครั้ง มีการวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนแผนการตลาดกับผู้จัดการฝ่ายขายกันทุกครั้ง แต่ก็ไม่บังเกิดเป็นผลใดๆ ผมเลยลองนำเอาไปคิดเป็นการบ้านว่า ถ้าผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขายจะทำอย่างไร ก็คิดไว้แล้วแต่ยังไม่มีโอกาสเสนอแนะเพราะกลัวจะต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นตัวตลกไปเลย จึงไม่เสนอแนวคิด แต่ครั้งนี้ที่เสนอแนะเพราะเห็นว่าท่านกรรมการรวมทั้งท่านผู้จัดการฝ่ายขายถอดใจที่จะยอมยกธงขาวกันแล้ว และที่คิดแผนนี้ขึ้นจะด้วยโชคหรือโอกาสหรือด้วยอะไร ไม่อาจทราบได้ บังเอิญที่ผม ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านผู้ใช้แรงงานสองสามท่าน ที่ต้องการทวงถามค่าประกันการเช่า คืนจากเจ้าของห้องเช่า เนื่องจากท่านผู้ใช้แรงงานทั้งสามท่านร่วมกันเช่าห้องไว้พักอาศัย คือร่วมกันจ่ายค่าเช่า ค่าประกันการเช่า จึงทราบว่า เจ้าของห้องเช่าเก็บเงินประกันไว้ถึง 3 เดือน ก่อนเข้าอยู่ก็ต้องจ่ายอีก 1 เดือน รวมเป็น 4 เดือน เรียกว่าจ่ายก่อนอยู่นะ ค่าเช่าเดือนละ 1,200.-บาท ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เท่ากับว่าเจ้าของห้องเช่าเรียกเก็บเงินจากท่านผู้ใช้แรงงานไว้ประมาณ 4,800.-บาท คนอา รัย กะลุนา มัก จิง จิง แฮ...)
กลับมาที่แผนการขายนะครับ ผมแนะนำดังนี้ครับ
1. ให้ลูกค้าเป้าหมายวางเงินจองประมาณ 1,000.-บาท แล้วเข้าอยู่อาศัยได้เลย คือให้แนวคิดว่า ซื้อห้องชุดดีกว่าจ่ายค่าเช่า
2. ให้ลูกค้าที่วางเงินจอง จะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขายพร้อมกับว่างเงินอีก 5,000.-บาท ในระยะ 60 วัน ระหว่างอยู่อาศัย 60 วันยังไม่ต้องชำระเงินดาวน์ใดๆ คือวางเงื่อนไขให้ซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะ บริษัทมีกำไรอยู่แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 120 ยูนิต เป็นเงินประมาณ สิบห้าสิบหกล้านเป็นเพียงกำไรส่วนเพิ่ม
3. ราคาขายที่ตั้งไว้เดิม ห้องชุดละ 150,000.-บาท ยังสูงไปให้ลดลงเหลือ 125,000.-บาท ถือว่าดีกว่าเก็บเป็นห้องชุด ต่อไปก็จะมีค่าซ่อมแซม และท่านผู้ถือหุ้นก็คงไม่มาอยู่เอง เปลี่ยนเป็นเม็ดเงินจะดีกว่า
4. ให้ลูกค้าชำระเงินดาวน์เพียง 20 % คือ ประมาณ 25,000.-บาท ผ่อนชำระ 12 เดือน เมื่อนำเงินจองกับเงินทำสัญญา 6,000.-บาท มาหัก ต้องผ่อนเงินดาวน์เพียง 19,000.-บาท คือต้องผ่อนชำระประมาณเดือนละ 1,600.-บาท ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าเช่าที่ลูกค้าเป้าหมายต้องจ่ายค่าเช่าห้องพักทั่วไป
5. เงินส่วนที่เหลืออีก 100,000.-บาท ให้ลูกค้า ขอกู้จาก ธนาคาร(เป็นธนาคารเก่าแก่ที่สุดของไทย) สาขาบางพลี อัตราดอกเบี้ย จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ร้อยละ 9 หรือ 11 (คงจะแก่แล้วจริงๆ เข้าไปซื้อของ พนักงานขายถึงเรียกว่า ลุง คำว่า ลุง นี้น่าจะห้ามใช้นะ ฟังแล้วคล้ายคำไม่สุภาพนะ อิอิ..) ระยะเวลาผ่อนชำระ 15 ถึง 20 ปี ซึ่งการผ่อนชำระก็จะตกเดือนละประมาณ พันสามพันสี่เท่านั้นก็ใกล้เคียงกับค่าเช่าทั่วไป ลูกค้าเป้าหมายที่มีเงินรายได้ต่อเดือนประมาณสี่ถึงห้าพันก็น่าจะได้รับอนุมัติวงเงินกู้แล้ว
6. ก่อนลูกค้าเป้าหมายจะวางเงินจองต้องตรวจสอบ รายได้เบื้องต้นเสียก่อนจะได้ไม่ต้องเสียโอกาสการขาย คือให้ขอดูหลักฐานการเงิน เรียกว่าวิเคราะห์แทนธนาคาร แต่ถ้าจะให้ดีติดต่อฝ่ายสินเชื่อธนาคารมาชี้แนะพนักงานขายว่าต้องตรวจดูอย่างไรจึงมีความน่าจะเป็นตามหลักการอนุมัติสินเชื่อ
กุศโลบายการตลาดผมก็มีเพียงเท่านี้ ไม่ได้คิดอะไรที่ลึกหรือไม่มีใครจะมองไม่เห็นเลย หากไม่เจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มจนเกินไป
และโดยข้อเท็จจริงใช่ว่า คณะกรรมการจะคิดวิธีตามที่ผมเสนอแนะไม่ได้ แต่เนื่องจากกลุ่มทุนกลุ่มนี้ ทำแต่ธุรกิจส่งออก กับทำโรงงานอุต-สา-หา-กรรม อิอิ.. จับเงินทีละเป็นล้านๆ ยอดขายจากสินค้าที่ผลิตวันเดียวได้มากกว่า ห้องชุดทั้ง 120 ยูนิตขายรวมกันเสียอีก จึงไม่มองลูกค้าในกลุ่มที่ผมมอง ผมเพียงเป็นผู้สะกิดให้หันมามองเท่านั้น
จากสิ่งที่ผมเสนอแนะปรากฏว่าท่านประธานเห็นชอบด้วยแถมยังต่อยอดให้ว่า ไม่ต้องให้เวลาลูกค้าเป้าหมายถึงหกสิบวัน ให้ทำสัญญาในวันจองเลยพร้อมวางเงิน 5,000.-บาท โดยท่านประธานอธิบายว่า พนักงานโรงงานมีรายได้พอจะนำเงินจำนวนนี้มาวางวันจองแน่นอน เพราะส่วนใหญ่จะมี แหวน สร้อยคอ และนาฬิกา เพียงทำโปรโมชั่นให้ดีและมีเวลาให้ทราบล่วงหน้าตามเงื่อนไขที่เสนอทั้งกำหนดวันขายตามโปรโมชั่นใหม่ ในวันต้นเดือน เพราะบางคนจะมีเงินเดือนมาทำสัญญาได้เลย ส่วนพวกที่ไม่มีหรือมีไม่พอ ก็จะเอา แหวน สร้อยคอ นาฬิกา ไปจำนำ เอาเงินมาทำสัญญาได้แน่ เห็นความคิดวิธีการทำเงินจาก แหวน สร้อยคอของผู้ใช้แรงงานหรือยังครับ มิน่าผมถึงไม่รวยสักที แฮ...
เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อพร้อมเปิดขายตามโปรโมชั่นใหม่ ปรากฎว่าขายหมดภายใน วันเดียว
แนวคิดของผมที่ให้เวลาลูกค้าเป้าหมาย 60 วันเพราะเชื่อว่าลูกค้าจะต้องไปบอกเลิกการเช่า และจะได้รับเงินประกันคืนภายใน 30 วันหลังจากวันที่บอกเลิกการเช่า ก็จะมีเงินมาทำสัญญาได้ และเมื่อลูกค้ามั่นใจว่ามีที่พักอาศัยแน่นอนเพียงจ่าย 1,000.-บาท ก็ต้องซื้อเพราะคิดอย่างไรก็ถูกกว่าเช่า (ผมว่าความคิดผมเยี่ยมแล้วนะ แฮ...)
แต่
แนวคิดของท่านประธานกลับมอง วิธีทำเงินล้านจากสร้อยคอและแหวนของผู้ใช้แรงงาน ท่านถึงเป็นพ่อค้าไงครับ เห็นหรือยังครับความคิดใครเยี่ยมกว่ากันระหว่างท่านประธานกับผม แต่ผมว่าความคิดผมเยี่ยมกว่านะ เพราะผมได้ค่าสะกิดมา 50,000.-บาทจากท่านประธาน โดยบอกว่าเป็นค่าชี้ให้หันไปมอง แฮ...
ยุติธรรมคือศาสตร์ ก็จริงอยู่ แต่การค้าก็เป็นศาสตร์นะ อิอิ..
คราวหน้าจะเล่าเรื่อง
ยุทธการบีบหัวใจศาล ครับ
สวัสดีครับ ท่านเกษตร (อยู่) จังหวัด
ขอขอบพระคุณที่แวะมาครับ
อาชีพพ่อค้าเท่าที่รู้จักมาเป็นเช่นท่านประธานจริงๆ
สามรถคิดทำทุกอย่างให้เป็นเงินได้หมด วิธีทำเงินสู้พ่อค้าไม่ได้จริงๆ ครับ
เรียนตรงๆว่าผมแอบชอบสำนวน และวิธีการใช้ภาษาของท่านมาก
พอท่านเล่าถึงแผนการ พาเด็กไปเที่ยว
เออ...ลืมช่วยเติม ๆ (ไม้ยมก) หลังคำว่า เด็ก ให้ด้วยนะ
เลยนึกใจหายเป็นห่วงว่าจะไม่ได้อ่านสำนวนดีๆจากท่านอีก
จึงขอร้องไว้ว่าอย่าลืม เกรงใจสุภาพสตรีที่ยืนข้างท่านนะ อิ.อิ.
ผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านจ้างเลขาหน้าตาสวยๆไว้สักคน
คอยเติมแต่ ฯ (ไม้ยมก) อย่างเดียว อย่าให้ทำหน้าที่อื่นรับรองไม่ลืม ฮา....
สวัสดีครับคุณมนัสนันท์
ใช้ครับต้องยอมรับว่าความเป็นพ่อค้ามีความล้ำลึกตามคุณว่าจริงๆ
คำแนะนำของผมไม่ได้เกินมุมมองของท่านประธานเลย
ท่านมีเงินมากจนไม่ยากจะหันมามองตรงจุดนี้เท่านั้น
ที่ผมเชื่อเช่นนี้เพราะ ท่านจ่ายให้ผมเป็นค่าชี้ให้หันไปมอง
ท่านบอกผนว่า "ให้เป็นค่าชี้ให้มอง" ผมจำจนทุกวันนี้ครับ
คิดได้เก่งจริงๆ.....คนเก่งคือคนที่มีมุมในการมอง...ยอด...ยอด
สวัสดีครับคุณครูปริมปราง
คนที่คิดได้เก่งจริงในที่นี้ผมว่าเป็นท่านประธานครับ
แค่ผมสกิดท่านก็ไปเกินร้อยเมตรแล้ว
ผมมองเพียงว่าจะทำตลาดอย่างไรแต่ท่านมองว่าจะเอาเงินอย่างไร
ผมถึงได้แต่ค่าจ้าง ส่วนท่านได้ค่ากำไร น่าอิจฉา เน่อะ...
สวัสดีครับคุณครูดาวเรือง
แง...แง...ไม่ยอยท่านประธานเก่งกว่า
ไม่เป็นไรครับถือว่าแพ้เป็นพระ ชนะเป็นพ่อค้า อิ.อิ.
ความจริงที่ผมคิดนะเป็นแค่การตลาดขั้นประถมใครอยู่ ณ จุดนั้นก็คิดได้ครับ
แต่เยี่ยมยุทธ ก็ตรงความคิดของท่านประธาน
ดีนะที่ท่านมองลงไปเพียงสร้อยคอไม่มองลึกลงไปมากกว่านั้น
ผมว่าถ้ามองลึกลงไปอีกคงยุ่งพิลึก...ฮา แต่เชื่อเถอะก็เป็นตังค์อีก....ฮา
จริงอย่างคุณครูว่าครับ เรียนไม่จบจริงๆ....พ่อค้านะพ่อค้า มองเป็นตังค์ได้ไง...