81.จากบักโดกราสู่เดลลี (7)


ลงจากหิมาลัยทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นไปเหนือของอินเดีย

 

          พวกเราขึ้นเครื่อง Kingfisher สภาพเครื่องบินไม่ใหม่นัก เจ้าหน้าที่แต่งเครื่องแบบสีแดง มีอาหารเสิร์ฟให้ทานทุกคน ใช้เวลาบินไปกุวาฮาตีราว 1 ชั่วโมงเพื่อส่งผู้โดยสารลง เจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋าที่อยู่บน cabin อีกที ติด sticker ที่กระเป๋าพร้อมทั้งขอดู boarding pass จากผู้โดยสารอีกรอบ เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ดูดฝุ่น ดูวุ่นวายดีพิลึก ดิฉันหลับๆ ตื่นๆ อากาศเริ่มเย็นๆ

          ผู้โดยสารขึ้นมาเต็มลำบินต่อไปเดลลี ถึงเวลา 17.30 น. สนามบินภายในประเทศมีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น กว้างขวาง โอ่โถงกว่าเดิม เครื่องมาช้าไป 1 ชั่วโมงจากที่เครื่องบิน Jet กำหนดไว้ ที่เดลลีฝนตก ท่านเลขาฯ เอกจากสถานทูตไทยอีกคนหนึ่งมารับ พาคณะเราไปพักผ่อนที่สถานทูตไทยก่อนราว 1 ชั่วโมงเพื่อให้คนขับรถที่เป็นมุสลิมและกำลังอยู่ในระหว่างการถือศีลอดกลับไปทานอาหารและละหมาดก่อน  รถออกมาจากสนามบิน การจราจรติดบ้างแต่ไม่มาก มาถึงย่านสถานทูตไม่ค่อยติดแล้ว บริเวณสถานทูตไทยร่มรื่นมาก มีต้นไม้ใหญ่ร่มครื้ม ทำเนียบท่านทูตอยู่ด้านหน้าหลังใหญ่ดูขรึมดี (เก่าแล้ว)

          พวกเราได้มีโอกาสไปชมสนามและสวนด้านหลัง ได้ไปไหว้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้หน่อมาจากพุทธคยา มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ หลังทำเนียบมีสนามกว้างเพื่อใช้จัดเลี้ยงรับรองเวลามีงานวันสำคัญๆ ของชาติ

          ดิฉันได้มีโอกาสพบท่านทูตพลเดชซึ่งดิฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ทาง weblog ของท่าน ดิฉันดีใจมากที่ได้พบท่านและภรรยา รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานคล้ายกับได้พบญาติ ท่านสนทนากับคณะของเราสักพักที่ห้องรับรองทำเนียบ ท่านพาดิฉันเดินไปบ้านพักเพื่อพบกับภรรยาท่าน และนั่งรถท่านไปทานอาหารเย็น ส่วนพรรคพวกไปกับรถตู้อีกคันที่ไปรับเรามาจากสนามบิน

          ท่านเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพวกเราที่ร้านอาหารจีน Nanking ซึ่งทราบว่ามีชื่อเสียง อาหารอร่อย พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันสนุกสนาน จนได้เวลาราวสี่ทุ่มเศษ ดิฉันลาพรรคพวกที่ต้องเดินทางกลับเมืองไทยคืนนี้รวมทั้งข้าราชการสถานทูตทุกท่าน ดิฉันขอรบกวนท่านทูตพลเดชช่วยให้คนขับรถท่านไปส่งดิฉันที่สถานีรถไฟเพราะดิฉันจะต้องเดินทางโดยรถไฟไปเมืองเดห์ราดูนเพื่อไปทำวิจัยต่อ รถไฟออกเวลา 23.55 น. ท่านเมตตามาก กรุณาไปส่งถึงหน้าสถานี ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านเพิ่มเติมเรื่องอินเดีย ท่านฝากเรื่องการแก้ไขทัศนคติที่คนไทยมีต่ออินเดียให้เป็นบวก  (ใครที่ยังไม่เคยไปอินเดียน่าจะไปดูให้เห็นก่อน อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนะคะ)

          ถึงสถานีรถไฟ Nizamuddin ราวสี่ทุ่มกว่า ดิฉันขอบพระคุณและลาท่านทูตพร้อมทั้งขอบคุณคนขับรถด้วย สถานีรถไฟนี้ต้องเดินขึ้นบันไดไปสูงมาก กระเป๋าเดินทางดิฉันหนักมากค่ะ ดิฉันต้องไปที่ชานชาลาที่ 1 ต้องเดินลงบันไดไปอีกที มีเวลาหาตู้ A 1 โชคดีที่เป็นต้นทาง มีรายชื่อผู้โดยสารติดที่ทางขึ้นของโบกี้ด้วย รถไฟตู้แอร์ชั้นสอง ดิฉันนอนชั้นบน อินเดียฝึกให้เราอดทน และเป็นคนอึดเพราะการแบกของหนักๆ ในการเดินทางข้ามสะพานของสถานีรถไฟ หรือเดินขึ้น ลงสะพานสูงๆ เป็นเรื่องธรรมดา คนอินเดียอื่นๆ คุ้นชินกับวิถีแบบนี้ แต่ดิฉันไม่ค่อยชินเหนื่อยทีเดียว โดยทั่วไป ที่สถานีรถไฟสามารถจ้างเจ้าหน้าที่สวมชุดสีแดงช่วยขนของ แบกกระเป๋าได้ แต่ดิฉันไม่คุ้นชิน และตอนนี้ดึกมากแล้วไม่เห็นคนเหล่านี้

รถออก 23.55 น. ตรงเวลา มีคณะทัวร์ฝรั่งเศสขึ้นมาเสียงดังวุ่นวายพอควร ดิฉันปูที่นอนเสร็จก็นอนหลับเลย เหนื่อยมาก ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

--------------------------

บอกกล่าว ข่าวแจ้ง

หลักสูตรปริญญาโท สาขาวัฒนธรรมและการพัฒนา เอกอินเดียศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญท่านที่สนใจจะร่วมเป็นพลังบุกเบิกสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับอินเดียให้กับสังคมไทย ขอเชิญสมัครได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 หรือเข้าชม www.lc.mahidol.ac.th โทร 02-800-2308-14 ต่อ 3309

 

หมายเลขบันทึก: 321069เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2009 22:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 11:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีครับ แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน

ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่ได้รับในคืนนี้ด้ิวยนะครับ

เรียนพันตำรวจโทสุพจน์

    ขอบพระคุณค่ะ ขอให้ท่านพบสิ่งดีๆ เช่นกันค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท