ระบบการทำงานภายในหม้อไอน้ำ ( Fire Tube Boiler )
ภายในหม้อไอน้ำจะมีระบบต่าง ๆ ที่ต้องทำงานสำพันธ์กันอยู่หลายระบบด้วยกันดังต่อนี้
1. ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ( Fuel Oil System )
2. ระบบน้ำเลี้ยงหม้อไอน้ำ ( Feed Water System )
3. ระบบการเผาไหม้ ( Combustion System )
4. ระบบการนำไอน้ำไปใช้งาน ( Main Steam )
ซึ่งระบบต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าได้รับการบำรุงรักษาที่ดีอยู่เสมอ จะทำให้อายุการทำงานขอหม้อไอน้ำภายในเรือยาวนาน และเกิดประโยชน์มากที่สุด
1. ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ( Fuel Oil System )
น้ำมันที่ส่วนใหญ่ใช้กันมากนั้นต้องได้มาจาก การนำน้ำมันดิบมากลั่นเพื่อแยกชนิดของน้ำมันทีจุดเดือด ( Boiling Point ) ต่าง ๆ กันได้เป็น ก๊าซปิโตเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา และสุดท้ายที่กลั่นได้เป็นยางมะตอย สำหรับน้ำมันที่นำมาใช้กับหม้อไอน้ำ คือ น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา
สำหรับเรือ Thor Dynamic น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับ Boiler มีด้วยกันอยู่ 2 ชนิด คือ Heavy Fuel Oil and Diesel Oil ในการใช้งานสภาวะปกติจะใช้น้ำมันเตา ( Heavy Fuel Oil ) แต่ในช่วงทีจุดใหม่นั่นเราจะใช้น้ำมันดีเซล ( Diesel Oil ) ประมาณ 2 ชั่วโมง และก่อนเลิกจุด 1 ชั่วโมง จะใช้น้ำมันดีเซลอีกครั้งหนึ่ง โดยมี่ปั้มน้ำมัน F.O Circulating Pump น้ำมันจากถัง F.O. Sevice Tank ด้นกำลังดันประมาณ 5 kg / cm2 ไปยัง F.O Heater และผ่านไป Burner Pump ซึ่งหลงจากที่ออกจากทางส่งของ Burner Pump น้ำมันเชื้อเพลิงจะมีกำลังประมาณ 20 kg / cm2 เพื่อไปเข้าในชุดของ Burner ต่อไป หลังจากนั้นขั้วไฟ ( Igniton ) จะทำการจุดระเบิด เมื่อน้ำมันที่ถูกฉีดจาก Burner จะมีลักษณะที่เป็นฝอยละออง เมื่อเกิดประกายไฟขึ้นก็จะเกิดการสันปาด โดยมีอากาศจากพัดลมเป่าอากาศเข้ามาเพื่อให้การเผาไหม้สมบูรณ์
2. ระบบน้ำเลี้ยงหม้อไอน้ำ ( Feed Water System )
ระบบส่งน้ำเข้าหม้อไอน้ำ ในที่นี้จะอธิบายหลักการของระบบส่งน้ำคร่าว ๆ ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญดังต่อไปนี้
* Cascade Tank หรือ ถังพักน้ำ ใช้สำหรับเก็บน้ำสำรองที่จ่ายให้กับหม้อไอน้ำ ถังพักน้ำควรมีอุปกรณ์บอกระดับน้ำ และ วาล์วถ่ายน้ำ ความจุของถังพักน้ำควรมีมากพอที่หม้อไอน้ำจะใช้ได้ในวันหนึ่ง ๆ กรณีที่ใช้น้ำร้อนป้อนเข้าหม้อไอน้ำ ถังพักน้ำต้องวางสูงจากพื้นมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำ ภายในถังน้ำนี้เราจะต้องรักษาอุณหภูมิของน้ำให้คงที่ประมาณ 60 องศาเซนเซียนและจะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของน้ำที่ใช้ การปรับปรุงคุณภาพของน้ำจะแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วนกันคือ
1 การปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเติมเข้าหม้อไอน้ำ ( External Treament )
2 การปรับปรุงคุณภาพน้ำภายในหม้อไอน้ำ ( Internal Treament )
การปรับปรุงคุณภาพของน้ำก่อนเติมเข้าหม้อไอน้ำ
น้ำตามธรรมชาติถ้านำทาเติมในหม้อไอน้ำโดยไม่มีการปรับปรุงคุณภาพของน้ำก่อนจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นภายในหม้อไอน้ำ คือ การเกิดตะกรัน และการกัดกร่อน ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของน้ำก่อนทำการเติมเข้าหม้อไอน้ำ การวิเคราะห์ หาชนิดและจำนวนสิ่งเจือปนในน้ำเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อหาวิธีในการปรับปรุงคุณภาพของน้ำที่เหมาะสมต่อไป ความกระด้างชั่วคราว ความกระด้างถาวร และซิลิก้า เป็นต้น สาเหตุองการเกิดตะกรัน ส่วนออกซิเจน และ คาร์บอนไดออกไซค์ จะเป็นตัวเร่งการกัดกร่อนของโลหะที่เป็นโครงสร้างของหม้อไอน้ำ ซึ่งเราสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ได้
การปรับปรุงคุณภาพของน้ำภายในหม้อไอน้ำ
การปรับปรุงคุณภาพของน้ำก่อนเข้าหม้อไอน้ำครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม น้ำภายในหม้อไอน้ำจะต้มและละเหยกลายเป็นไอเรื่อย ๆ ทำให้ค่าความเข้มข้นของสารเจือปนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของน้ำภายในหม้อไอน้ำโดยการนำเอาน้ำที่โบล์ดาวน์ไปวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณสิ่งเจือปนต่าง ๆ ว่าเพิ่มขึ้นเกินปริมาณที่ยอมให้มี ถ้าเกินก็สามารถปรับปรุงคุณภาพภายในหม้อไอน้ำ ได้ 2 วิธี
* Boiler Feed Water Pump จะทำหน้าที่ส่งน้ำจากถังพัก Cascade Tank ด้วยกำลังดันที่ประมาณ 10 kg / cm2 เข้าไปในหม้อไอน้ำ ซึ่งการเติม Catalyst Sulphite ก็จะเติมทาง Suction ของ Boiler Feed Water Pump นี้
* Condenser เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนของ ( Exhaust Steam ) โดยใช้น้ำทะเลมาใช้ในการแลกเปลี่ยนความร้อนหลังจากที่ผ่าน Condenser แล้วก็จะนำไปเก็บที่ Cascade Tank เพื่อนำไปใช้งานต่อไป
* Feed Water Tank เป็นถังน้ำจืดที่ไว้ใช้งานบนเรือทั่วไปซึ่งได้จากการรับน้ำ หรือ กรณีเรือเดินก็ได้จากการกลั่นน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดเพื่อป้อนน้ำเข้า Cascade Tank ในกรณีที่ปริมาณน้ำที่ในถังพักไม่พอ สำหรับเรือ Thor Dynamic นี้จะใช้การเติมแบบอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อเซ็นเซอร์หรือตัววัดระดับของน้ำโดยใช้แบบลูกลอย เมื่อลูกลอยตกอยู่ในระดับที่ทำการตั้งค่าเอาไว้วาล์วน้ำก็จะทำการเปิดระบบการเติมน้ำเข้าไปในถังพัก จนถึงระดับที่ทำการตั้งไว้ที่ตำแหน่งสูงพอแล้วระบบก็จะทำการปิดระบบเติมน้ำเข้าถังพัก
* หม้อพักไอ ( Steam Drum ) จะทำหน้าที่เก็บไอน้ำที่หม้อไอน้ำผลิตได้ แล้วจ่ายไปยังเครื่องจักร หรือ อุปกรณ์ที่ต้องการใช้ไอน้ำ หม้อพักไอจะต้องสร้างจากวัสดุที่ทนความดัน และอุณหภูมิของไอน้ำได้ หม้อพักไอควรจะมีการติดตั้งลิ้นนิรภัย ( Safety Valve ) เกจวัดความดัน วาล์วถ่ายน้ำ วาล์วจ่ายไอ้น้ำ และอื่น ๆ
* หม้อพักน้ำ ( Water Drum ) จะทำหน้าที่เป็นที่อยู่ของน้ำ และเป็นที่รวบรวมและรองรับสิ่งสกปรกต่างที่ปนมากับน้ำ หรือที่เกิดขึ้นภายในหม้อไอน้ำเอง
* ท่อโบว์ลหน้าน้ำ ( Surface Blow Pipe ) เป็นท่อที่ซึ่งเจาะรูไว้ตอนส่วนบนของท่อตลอดความยาวของท่อ วางตามลักษณะการติดตั้งของหม้อไอน้ำ และอยู่ภายในหม้อพักไอแต่อยู่ใต้ระดับของน้ำใช้งานประมาณครึ่งนิ้ว ปลายด้านหนึ่งติดกับอยู่กับฝาติดหน้าหม้อไอน้ำและประกอบติดกับวาล์วโบว์ลหน้าหม้อไอน้ำ ( Surface Blow Valve ) เพื่อใช้ในการระบายสิ่งสกปรกที่ลอยอยู่หน้าผิวน้ำทิ้งออกไปนอกตัวหม้อไอน้ำนี้ จะใช้การเปิดลิ้นตัวนี้เพื่อเป็นการระบาย
* ท่อน้ำเลี้ยงภายใน ( Internal Feed Pipe ) เป็นท่อที่วางตรงไปตามความยาวของตัวหม้อพักทำหน้าที่ เป็นท่อทางให้น้ำเลี้ยงซึ่งถูกส่งจากปั้มน้ำ เพื่อใช้ในการชดเชยกับจำนวนน้ำที่ระเหยกลายเป็นไอน้ำ และถูกน้ำไปใช้งาน
* เครื่องอุ่นน้ำด้วยก๊าซร้อน ( Economizer ) จะประกอบไปด้วยหมู่หลอดจำนวนหนึ่งวางอยู่เหนือหมู่หลอดทำไอมีท่อทางติดอยู่กับระบบน้ำเลี้ยง น้ำเลี้ยงจะไหลผ่านหมู่หลอดนี้ก่อนที่จะไหลเข้าสู่หม้อพักไอ ก๊าซร้อนจะพัดผ่านด้านรอบนอกของหมู่หลอดนี้ก่อนที่จะออกปล่อง ทำให้อุณหภูมิของเลี้ยงน้ำสูงขึ้น ความร้อนที่สูญเสียไปจะลดน้อยลง ถ้าหม้อไอน้ำไม่มีเครื่องอุ่นน้ำด้วยก๊าซร้อนแล้ว จะต้องให้ความร้อนแก่น้ำเท่ากับจำนวนความร้อนที่เครื่องอุ่นน้ำได้รับ ฉะนั้นการอุ่นน้ำด้วยก๊าซร้อนจึงมีผลก็คือทำให้เราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงนี้อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 1% ต่ออุณหภูมิน้ำเลี้ยงที่สูงขึ้น 10 องศาฟาเรนไฮร์
3. ระบบการเผาไหม้ ( Combustion System ) หมายถึง การเกิดปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างเชื้อเพลิง กับออกซิเจน ปฏิกริยาจะเกิดอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดพลังงานออกมาในรูปของความร้อน ทำให้อุณหภูมิของสารผสมน้ำมันเชื้อเพลิง และออกซิเจนสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีผลทำให้สารผสมที่ใกล้เคียงเกิดปฏิกริยาตาม ทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง
การเผาไหม้ที่ดีหรือการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ คือ การเผาไหม้ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว สามารถให้ปริมาณความร้อนเท่ากับค่าความร้อนของเชื้อเพลิง และผลที่ได้จากการเผาไหม้จะอยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ปริมาณของเชื้อเพลิงและออกซิเจนที่ใช้จะต้องได้อัตราส่วนที่เหมาะสม การที่จะทราบว่าการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นนั้นสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด จำเป็นจะต้องใช้สารเคมีเพื่อศึกษาถึงลักษณะของปฏิกริยาที่เกิดขึ้น
ระบบการเผาไหม้ จะมี Oil Burner เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำให้เกิดการเผาไหม้ซึ่งจะประกอบไปด้วย
* Oil Solinoid Valve ทำหน้าที่ ควบคุมการเปิด , ปิด ของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าสูหัวฉีด
* F.O. Circulating Valve เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมกำลังดันของน้ำมันเชื้อเพลิงก่อนที่จะเข้า Automizer คือจะยอมให้น้ำมันไหลผ่านเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อกำลังดันของน้ำมันเชื้อเพลิงสูงพอตามที่เราตั้งค่าเอาไว้ ถ้าความดันของน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สูงพอก็จะ Circulat น้ำมันกลับไปยังปั้มอีกทีหนึ่ง ข้อดีของการมี F.O. Circulating Valve ก็คือ ทำให้การเผาไหม้สม่ำเสอมและทำให้น้ำมันมีความร้อนที่สูงเหมาะสม
* Automizer เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นฝอยละอองโดยการพ่นด้วนกำลังดันแรงสูง ส่งผลทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์
* Automatic Electric Igniter เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ Sparking ให้เกิดประกายไฟ โดยจะได้รับกระแสไฟจาก Transfomer จะทำการแปลงกระแสไฟจาก 24 V. ให้เป็นไฟกระแส AC. 10,000 V
* Flame Eye เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากการ Sparking ของ Igniter เมื่อมีการ Sparking นี้ Photocell จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ระบบวงจรของน้ำมันเชื้อเพลิง Oil Burner Pump Close Circuit ทำให้มีการส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 20 Kg/ cm2 เข้ามาที่หัวฉีด ถ้ามีการจุดติดไฟหลังจากการ Spark ซึ่ง Photocell ก็จะทำการควบคุมให้ Oil Burner Pump ทำงานต่อไป แต่ถ้าหลังจากการ Spark ไปแล้ว 3 วินาที ยังไม่มีการเกิดของประกายไฟ Photocell ก็จะตัดวงจรของ Oil Burner Pump ทันทีทั้งนี้เพื่อป้องกันน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในเตาโดยไม่มีการเผาไหม้
* Low Oil Temperature Switch เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมไม่ให้น้ำมันที่มีอุณหภูมิที่ต่ำเข้าไปในระบบ ถ้าอุณหภูมิของน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ ( Drop ) Switch ตัวนี้จะทำงาน จะทำการตัดการจ่ายน้ำมันเชื่อเพลิงทันที
* เตา ( Furnace ) เตาเป็นที่ที่ อากาศ และ น้ำมันเชื้อเพลิง เข้ามาผสมรวมตัวกันทำให้เกิดการเผาไหม้ ให้ความร้อนกับหม้อไอน้ำ ปกติหม้อไอน้ำจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 1 ปอนด์ ต่อ อากาศประมาณ 225 ลูกบาศก์ฟุต
* เครื่องอุ่นอากาศ ( Air Heater or Preheat ) เป็นเครื่องช่วยอุ่นอากาศที่จะถูกส่งเข้าไปในห้องเผาไหม้ เพื่อช่วยให้การเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงได้ผลดี
* ก๊อกอากาศ ( Air Cock ) จะประกอบติดตั้งอยู่บนสุดภายนอกของหม้อไอน้ำ เพื่อให้อากาศจากหม้อพักไอน้ำไหลออกโดยการเปิดวาล์วระบายออก
* ลิ้นป้องกันอันตราย ( Safety Valve ) ที่ติดตั้งประจำกับตัวของหม้อไอน้ำ เพื่อป้องกันกำลังดันไอน้ำภายในหม้อไอน้ำสูงเกินกว่ากำลังดันปลอดภัยที่กำหนดไว้ มิฉะนั้นแล้วเมื่อเกิดแรงดันเกินกว่าที่กำหนดอาจจะทำให้หม้อไอน้ำระเบิดได้
คุณสมบัติของลิ้นนิรภัย ( Safety Valve ) คือ
ลิ้นนิรภัยที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้จะมีด้วยกันอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1 ลิ้นนิรภัยประเภทน้ำหนักถ่วงโดยตรง ลิ้นแบบนี้ปัจจุบันไม่นิยมใช้งาน การทำงานจะมีวาล์ววางกดทับบนบ่าวาล์ว แล้วมีแผ่นเหล็กวางทับอีกที การปรับความดันให้มีการระบายออกของไอน้ำ ทำได้โดยเพิ่ม หรือลดจำนวนแผ่นเหล็ก ลิ้นนิรภัยแบบนี้มีลักษณะพิเศษ คือ ระบายไอน้ำออกที่ความดันกำหนดไว้ได้อย่างเที่ยงตรง และเพื่อป้องกันแผ่นเหล็กกระเด็นออกจึงต้องมีฝาครอบแผ่นเหล็ก ปัจจุบันยังพบว่ามีการใช้งานกับหม้อไอน้ำแบบลูกหมูรุ่นเก่าๆ แต่หม้อไอน้ำรุ่นใหม่ไม่นิยมใช้
2 ลิ้นนิรภัยประเภทคานน้ำหนัก ลิ้นแบบนี้ ปัจจุบันมีการนำมาใช้มากโดยเฉพาะกับหม้อไอน้ำแบบลูกหมู การทำงานของตัววาล์วจะว่างอยู่บนบ่าวาล์วแล้ว มีกระเดื่องพร้อมคานและตุ้มน้ำหนักกดบนวาล์วอีกทีหนึ่ง การปรับความดันให้ไอน้ำระบายออกทำได้โดยการเลื่อนตุ้มน้ำหนักที่คานเข้า และ ออก ลิ้นนิรภัยแบบนี้เหมาะสำหรับหม้อไอน้ำที่ใช้ความดันไม่เกิน 200 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
3 ลิ้นนิรภัยประเภทสปริง ลิ้นนิรภัยแบบนี้ปัจจุบันนี้เป็นที่นิยมใช้กันมากกับหม้อไอน้ำที่สุดเพราะสะดวกและหาซื้อง่าย การทำงานแรงสปริงจะทำหน้าที่ทำให้วาล์วกดแน่นกับบ่าวาล์วการปรับแรงดันให้มีการระบายไอน้ำออก กระทำได้โดยการขันสกรูเข้าและออก ทำให้สปริงแข็งขึ้นหรืออ่อนลง ลิ้นนิรภัยแบบสปริงนี้ต้องมีคานงัดทดสอบสภาพการใช้งานได้ หม้อไอน้ำที่ติดตั้งกับรถไฟและเรือ ซึ่งมีการเคลื่อนที่อยู่เสมอควรใช้ลิ้นนิรภัยแบบนี้
* เปลือกหม้อไอน้ำ ( Casing ) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงและความร้อนหนีออก จึงได้สร้างเปลือกหม้อไอน้ำหุ้มหม้อไอน้ำไว้ เปลือกดังกล่าวนี้จะหุ้มตัวหม้อไอน้ำจากมห้อพักน้ำทางด้านข้าง จากผนังเตาด้านหน้าและด้านหลัง จนกระทั่งทั่วจนถึงปล่อง ( Up Take ) ผนังเตาด้านหน้า และด้านหลังซึ่งมีอิฐทมไฟบุ อยู่จึงทำหน้าที่หุ้มเปลือกหม้อน้ำชั้นในไปในตัว
* ฐานหม้อไอน้ำและเหล็กค้ำยัน ( Seddles and Supports ) การติดตั้งหม้อไอน้ำในเรือนั้นใช้วิธียึดตัวหม้อไอน้ำ หรือหัวต่อหลอดให้ติดกับฐานหม้อไอน้ำยึดติดกับพื้นเรืออีกทีหนึ่ง ฐานจะยึดติดกับเหล็กค้ำยัน ( Supports )
4. ระบบการนำไอน้ำไปใช้งาน ( Main Steam )
ซึ่งระบบนี้จะเป็นการนำไอไปใช้งาน โดยจะผ่านตัวควบคุมแรงดันคือ Excess Steam Control และก็จะแยกไปตามท่อจ่ายไอต่าง ๆ ที่มีการใช้งาน
ท่อจ่ายไอน้ำ ( Steam pipe ) ทำหน้าที่ส่งไอน้ำไปใช้งาน ควรใช้ฉนวนหุ้มท่อจ่ายไอจะช่วยลดการสูญเสียความร้อนของไอน้ำได้ การเลือกท่อจ่ายไอน้ำจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. ชนิดของวัสดุที่ใช้ทำ เช่น เหล็กหล่อ เหล็กเหนียว หรือเหล็กกล้าผสม เป็นต้น การเลือกใช้วัสดุชนิดใดต้องพิจารณา อุณหภูมิ ความดัน และการกัดกร่อนที่จะเกิดขึ้น
2. ความหนาของท่อ ควรจะมีขนาดเท่าใด จึงเหมาะสมต้องพิจารณาความดัน และ อุณหภูมิไอน้ำในท่อด้วย
3. เส้นผ่าศูนย์กลางของท่อจ่ายไอ จะมีขนาดเท่าใดต้องพิจารณาร่วมกันกับอัตราการไหล ความดัน และ อุณหภูมิของไอน้ำ อีกทั้งความเร็วของไอน้ำ และการสูญเสียความดัน ( Pressure Drop ) ในท่อ โดยทั่วไปความเร็วของไอน้ำในท่อจะมีค่าประมาณ 4,000 – 6,000 ฟุต / นาที
4. การขยายตัวของท่อ อุณหภูมิของท่อตามปกติขณะยังไม่ใช้งานประมาณ 86 – 100๐ F แต่ขณะใช้ งานอุณหภูมิของท่อจะมีค่าเท่ากับอุณหภูมิของไอน้ำ เช่น ไอน้ำมีความดัน 100 ปอนด์ / ตารางนิ้ว จะมีอุณหภูมิ 338๐ F ท่อจ่ายไอก็จะมีอุณหภูมิ 338๐ F ด้วย การที่อุณหภูมิท่อเปลี่ยนแปลงมากจะทำให้เกิดการขยายตัว การขยายตัวของท่อจะมีเฉพาะช่วงความยาวเท่านั้น ส่วนการขยายตัวตามแนวรัศมีน้อยมากจนไม่ต้องคำนึงถึง
ต้องการรู้เรื่องระบบกลับจักรครับแต่ยังหาขัอมูลไม่ได้รบกานอธิบายให้หน่อยครับ(ขอแบละเอียดจะนำไปใช้งานจริง)คือมีพื้นอยู่บ้างแล้วแต่ต้องการให้ตัวเองแน่นขึ้นและเจาะลึกขึ้นครับขอบคุณมากครับ