กรณีศึกษา : การพัฒนาทักษะกระบวนการคิดและการเรียนเรียนรู้ด้วยเทคนิคเชิงมโนทัศน์
ครูวิลาพร อารักษ์ ได้รับมอบหมายให้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในรายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และรายวิชา เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มานานหลายปีแล้วได้ค้นพบว่า สื่อการเรียนรู้ที่เป็นประสบการณ์จริงของนักเรียนมีความสำคัญต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนเอง และปัญหาของการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนก็คือการลืมเนื้อหาและการไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ความคิดของนักเรียนเพื่อนำไปสู่ความรู้ที่ยั่งยืนได้ ขณะทำการสอนนักเรียนมีความสามารถในการโต้ตอบดีเมื่อเสร็จสิ้นการเรียนการสอนนักเรียนลืม ครูจึงปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยใช้สื่อการเรียนรู้ที่เป็นของจริง ใช้กระบานกลุ่มเข้าช่วยนักเรียนอ่อน มีการประเมินผลงานตามสภาพจริง มีการให้กำลังใจและช่วยเหลือขณะเรียน ให้นักเรียนบันทึกประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเชิงมโนทัศน์ และให้นักเรียนเล่าเรื่องจากภาพความรู้เชิงมโนทัศน์ที่นักเรียนสร้างขึ้น ครูจึงพบว่า นักเรียนทำได้ ขอเพียงแต่ครูให้โอกาส |
ข้าพเจ้า นางวิลาพร อารักษ์ โรงเรียนคลองลานวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2 มีประสบการณ์การทำงานที่โรงเรียนนี้เข้าปีที่ 4 และปัจจุบันได้รับมอบหมายให้สอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ และ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในรายวิชาเคมี
โรงเรียนคลองลานวิทยาเป็นโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้น พ.ศ. 2551 และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปีการศึกษา 2551 โดยเริ่มจากการประชุมผู้บริหารและครูของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในเขตพื้นที่หลายครั้งเพื่อรับนโยบาย สร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา พ.ศ. 2551 ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรใหม่ และเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา ครูจาก 4 โรงเรียน ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องหลักสูตรได้เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรใหม่ ณ สำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกำแพงเพชร สาขาคลองขลุง หลังจากนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนครูได้กลับมาที่โรงเรียนและได้เริ่มต้นการเขียนหลักสูตรใหม่กันอย่างจริงจัง จนกระทั่งสิ้นเดือน เมษายน โรงเรียนคลองลานวิทยาจึงได้หลักสูตรฉบับแรกและได้ส่งให้กับเขตพื้นที่เพื่อตรวจสอบ และโรงเรียนได้รับหลักสูตรคืนมาเพื่อแก้ไขและได้ส่งไปให้เขตพื้นที่ตรวจสอบครั้งที่สอง ได้รับหลักสูตรกลับคืนอีกครั้งพร้อมข้อเสนอแนะให้มีการปรับแก้ไขใหม่ และครั้งนี้เองที่ข้าพเจ้า และเพื่อนครูที่รับผิดชอบเป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ทีมวิจัยหลักสูตร และทีมผู้ใช้หลักสูตรใหม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาตามโครงการขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระหว่างวันที่ 10 – 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 ณ อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช จังหวัดตาก ซึ่งจัดกลุ่มนิเทศติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2 จากการสัมมนาครั้งนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จักการวิจัยเชิงคุณภาพหรือวิจัยเชิงปฏิบัติการ จากการศึกษาเรื่อง : ป่าชายเลนสู่การพัฒนาศิลปะและภาษา โดยอาจารย์อำพร ไหวพริบ โรงเรียนบ้านคลองประสงค์ จังหวัดกระบี่ ซึ่งกรณีศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของกิจรรมที่วิทยากรกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการวิจัยและการเขียนรายงานวิจัยในรูปแบบนี้ และข้าพเจ้าเลือกกรณีศึกษานี้เพื่อวิเคราะห์และถอดรหัสกรณีศึกษา
จากกิจกรรมนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับการเขียนรายงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยส่วนใหญ่ข้าพเจ้าเชื่อว่าครูทุกคนคุ้นเคย และได้ผ่านการแก้ปัญหาการเรียนการสอนมาแล้วทุกคน แต่ยังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนในการเขียนรายงานวิจัยเชิงคุณภาพ จึงมีครูน้อยคนนักที่มีประสบการณ์ในการเขียนรายงานรูปแบบนี้ และความใหม่ของรายงานรูปแบบนี้เองข้าพเจ้าคิดว่าตนเองน่าจะทำได้
หลังจากกลับมาที่โรงเรียน ข้าพเจ้าได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามปกติและข้าพเจ้าเริ่มทบทวนปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนและปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของข้าพเจ้า พบว่าหลังจากจบกิจกรรมการเรียนรู้แล้วทำการทดสอบความรู้ของนักเรียนในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ปัญหาที่พบซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่ข้าพเจ้าพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เกิดปัญหานี้ก็คือ การพยายามที่จะทำให้คะแนนการทดสอบของนักเรียนผ่านเกณฑ์ ก็คือผลการทำการทดสอบหลังแผนการเรียนรู้ของนักเรียนมีคะแนนต่ำ ซึ่งข้าพเจ้าได้สังเกตหลายครั้งจากการสอนที่ผ่านมา เมื่อสอบถามนักเรียนแล้วพบว่า นักเรียนจำเนื้อหาไม่ได้ ไม่เข้าใจเนื้อหา หรือจำได้แล้วลืม ไม่สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาได้ และเมื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนมีเวลาอ่านหนังสืออีกครั้งผลการทดสอบก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะนักเรียนก็ยังมีปัญหาเดิม คือจำไม่ได้ นำความรู้มาประยุกต์ใช้ไม่เป็น นึกภาพความสัมพันธ์ของเนื้อหาไม่ได้
จากปัญหาที่พบนี้ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าความรู้ที่นักเรียนได้รับจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของข้าพเจ้ายังเป็นความรู้ที่ไม่คงทน เพราะมันเกิดจากความจำระยะสั้น ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถาวร เพราะขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนจะตอบคำถามได้ โต้ตอบกับครูได้ ทำใบกิจกรรมได้ แต่เมื่อทดสอบพบว่านักเรียนมีผลคะแนนต่ำ
ข้าพเจ้าจึงคิดหาวิธีการที่จะทำอย่างไร ให้นักเรียนมีความรู้ที่คงทนและเป็นความรู้ที่เกิดจากการสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนเอง และจากการที่ข้าพเจ้าเคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับการสอนให้นักเรียนมี ทักษะกระบวนการคิด ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าความรู้ที่คงทนจะต้องมาจากตัวนักเรียนเป็นคนสร้างองค์ความรู้เอง ซึ่งการสร้างองค์ความรู้ได้นั้นนักเรียนต้องมีกระบวนการคิด และกระบวนการคิดมีทั้งหมด 12 กระบวนการคิด (ดร.สุวิทย์ มูลคำ,2549) ได้แก่
หนึ่งในกระบวนการคิดนั้นก็คือการคิดเชิงมโนทัศน์ ซึ่งหมายถึงความสามารถทางสมองในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมดที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจนโดยมีการจัดระบบ จัดลำดับความสำคัญของข้อมูล เพื่อสร้างความคิดรวบยอดของสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้น และรูปแบบของกรอบการคิดเชิงมโนทัศน์ มีหลายรูป เช่น
- Concept Map
- Mind Map
- Web Diagram
- Tree Structure
- Venn Diagram
- Descending Ladder
- Cycle Graph
- Flowechart Diagram
- Matrix Diagram
- Fishbone Map
- Interval Graph
- Order Graph
- Classification Map
จากรูปแบบกรอบมโนทัศน์นี้ ข้าพเจ้าได้นำเสนอกับนักเรียนและให้นักเรียนเลือกนำมาใช้เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง หลักจากที่เสร็จสิ้นกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาในรูปแบบของใครคนใดคนหนึ่ง จะเป็นความรู้ที่เกิดจากการเข้าใจ ไม่ใช่ความจำและทำให้ความรู้นั้นอยู่คงทน ในมโนภาพของนักเรียนตลอดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตามนักเรียนจะไม่ลืม
ข้าพเจ้าจึงเริ่มวางแผนวิธีการที่จะทำให้นักเรียนพัฒนาทักษะกระบวนการคิดและการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการคิดเชิงมโนทัศน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)ที่ว่า “โรงเรียนเสมือนห้องทดลองที่จะต้องช่วยเสริมสร้างการคิดให้แก่ผู้เรียน” และแนวความคิดของเพียร์เจ(Piaget) ที่ว่า “การคิดเกิดขึ้นเมื่อบุคคลเผชิญกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งหรือคำถามเกิดสภาวะความไม่สมดุลขึ้น จะเป็นความไม่สบายกายไม่สบายใจ ซึ่งเป็นสิ่งเร้า กระตุ้นให้บุคคลคิดเพื่อแก้ปัญหาหรือหาคำตอบเพื่อสามารถแก้ปัญหาได้หรือตอบคำถามนั้น ๆ ได้ บุคคลจะกลับข้าสู่สภาวะสมดุล หมดจากภาวะความเครียด เข้าสู่สภาวะปกติ”
ครูให้ความรู้ |
นักเรียนจำ |
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ |
เนื้อหามาก |
ภาระงานมาก |
นักเรียนเบื่อหน่าย |
ครูพบปัญหาที่ต้องแก้ไข |
เพื่อความก้าวหน้าของตนเอง |
วางแผน |
คิดหาทาง |
ดำเนินการแก้ไข |
ทดลองแก้ปัญหา |
วิเคราะห์ผล |
นำผลมาปรับปรุง/พัฒนาปรับปรุงแน |
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น |
ข้าพเจ้าได้นำความรู้และประมวลความคิดเพื่อทบทวนย้อนกลับและตั้งคำถามกลับตนเองว่า การที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำเป็นเพราะสาเหตุดังนี้ การดำเนินการของข้าพเจ้าจะยึดผู้เรียนเป็นสำคัญโดยให้นักเรียนแบ่งกลุ่มศึกษาจากเอกสารใบความรู้และตำราเรียนพร้อมกับครูให้คำเสนอแนะในระหว่างเรียนจากนั้นให้นักเรียนสรุปความรู้ลงในสมุดและให้นักเรียนเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังเมื่อจบเนื้อหา และทำการทดสอบหลังเรียน
ข้าพเจ้าได้ทบทวนวิธีการที่ใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วพบว่าการเรียนรู้จากตำราด้วยตัวของนักเรียนและฟังการบรรยายเพิ่มเติมจากครูบ้างนั้น มีผลต่อการพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนได้เหมือนกันแต่ต้องใช้เวลานานเพราะกว่าที่นักเรียนที่มีความแตกต่างกันทุกคนจะศึกษาเอกสารจนหมด และทำความเข้าใจในเนื้อหาได้นั้นต้องใช้เวลานาน และมีข้อจำกัดอีกว่านักเรียนมีความสามารถในการอ่านและตีความได้ต่างกัน จึงเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ใหม่
วิธีการต่อมาข้าพเจ้าได้ให้นักเรียนได้ศึกษาจากเอกสาร ใบความรู้ และฟังการบรรยายประกอบภาพสไลด์บนโปรแกรม Power point และให้นักเรียนได้สัมผัสกับสิ่งสื่อที่เป็นของจริงได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง เช่น จากการเรียนเรื่องเซลล์และโครงสร้างของเซลล์ ก็ให้นักเรียนได้นำพืชและสัตว์ในท้องถิ่นมาศึกษา ซึ่งจะทำให้นักเรียนได้มีทักษะการใช้กล้องจุลทรรศน์ ได้มองเห็นส่วนประกอบของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์จริงแล้วนำภาพที่วาดได้จากของจริงมาเปรียบเทียบกับภาพที่ได้จากการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต หรือการเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการลำเลียงในพืชก็ให้นักเรียนได้นำต้นไม้จริงมาศึกษาดูระบบลำเลียงโดยการนำต้นผักกระสังหรือพืชที่มีลำต้นใสมาแช่ในน้ำผสมสีแดงเพื่อให้มองเห็นท่อลำเลียงน้ำชัดเจน หรือการเรียนเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชก็ให้นักเรียนปลูกต้นไม้เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ ให้นักเรียนทำการทดสอบแป้งที่พืชสร้างขึ้นโดยการศึกษาจากใบชบาด่าง นักเรียนจึงสามารถเปรียบเทียบและรู้ได้ว่าส่วนของพืชที่สามารถสร้างอาหารได้คือส่วนของพืชที่มีสีเขียวซึ่งแสดงว่าในเซลล์ของพืชนั้นต้องมีคลอโรฟิลด์นั่นเอง หรือการเรียนเรื่องการสืบพันธุ์ของพืช ก็ให้นักเรียนนำดอกไม้ที่มีอยู่ท้องถิ่นมาคนละ 1 ดอก โดยสมาชิกในแต่ละกลุ่มจะมีดอกไม้ไม่ซ้ำกัน ให้นักเรียนได้ศึกษาส่วนประกอบของดอกไม้ นักเรียนได้ทราบว่าดอกไม้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามเกณฑ์เช่น ถ้าใช้ส่วนประกอบของดอกเป็นเกณฑ์จะแบ่งดอกไม้ออกเป็น 2 ประเภทคือ ดอกครบส่วนและดอกไม่ครบส่วน แต่ใช้เกสรตัวผู้เกสรตัวเมียเป็นเกณฑ์จะสามารถแบ่งดอกไม้เป็น 2 ประเภทคือ ดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่สมบูรณ์เพศอย่างนี้เป็นต้น ทำให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งการและกันซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นการปูพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตยไปในอนาคต โดยข้าพเจ้าทำหน้าที่จัดหาแหล่งการเรียนรู้ให้กับนักเรียนในขณะที่นักเรียนกำลังทำกิจกรรมการเรียนรู้คอยเสริมให้กำลังใจและช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ทำให้นักเรียนมีจินตนาการมากขึ้น นักเรียนเกิดมโนทัศน์ในใจและมีความภาคภูมิใจในความรู้ของตนเอง ซึ่งความรู้ที่ได้รับนี้ถือเป็นความรู้ที่เป็นองค์ความรู้ของนักเรียนเอง
เมื่อนักเรียนเรียนจบแต่ละเรื่องแล้วครูให้นักเรียนเขียนสรุปความรู้ที่ได้รับโดยเขียนสรุปเชิงมโนทัศน์จะเป็นรูปแบบใดก็ได้ที่นักเรียนถนัด พบว่ารูปแบบที่นักเรียนเข้าใจได้แก่ Concept Map ,Mind Map,Web Diagram,Venn Diagram,,Flowechart Diagram และอนุญาตให้นักเรียนนำกลับไปทำที่บ้านได้ จากกิจกรรมเหล่านี้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการขยายเวลาให้กับนักเรียนจะได้ลดภาวะความเครียดให้กับนักเรียนและจะได้ไม่มีการจำกัดในเรื่องเวลามาปิดกั้นความคิดและจินตนาการของนักเรียน
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์
ประเด็นการประเมิน |
ระดับคุณภาพ |
น้ำหนักคะแนน |
|||
4 |
3 |
2 |
1 |
||
1. รูปแบบ |
1) รูปแบบแปลกใหม่น่าสนใจ 2) มีขนาดเหมาะสม 3) รูปภาพมีสีสันสวยงาม 4) รูปภาพสัมพันธ์กับเนื้อหา |
1) มีขนาดเหมาะสม 2) รูปภาพมีสีสันสวยงาม 3) รูปภาพสัมพันธ์กับเนื้อหา |
1) มีขนาดเหมาะสม 2) รูปภาพมีสีสันสวยงาม |
มีขนาดเหมาะสม |
3 |
2. เนื้อหา |
1) เนื้อหาตรงกับข้อเท็จจริง 2) เนื้อหาเป็นไปตามลำดับขั้นตอน 3) รายละเอียดครอบคลุม 4) เนื้อหาสอดคล้องกับงาน |
1) เนื้อหาตรงกับข้อเท็จจริง 2) เนื้อหาเป็นไปตามลำดับขั้นตอน 3) รายละเอียดครอบคลุม |
1) เนื้อหาตรงกับข้อเท็จจริง 2) เนื้อหาเป็นตามลำดับขั้นตอน |
เนื้อหาตรงกับข้อเท็จจริง |
3 |
เมื่อนักเรียนนำผลงานมาส่ง ข้าพเจ้าจะให้นักเรียนเล่าสรุปเนื้อหาจากผลงานเชิงมโนทัศน์ที่นักเรียนสร้างขึ้นพบว่านักเรียนแต่ละคนสามารถทำได้ดี เนื้อหาที่ปรากฏในผังเชิงมโนทัศน์มีความครอบคลุมเนื้อหาเป็นอย่างดี มีรายละเอียดครบถ้วน ครูชมเชยและประเมินผลตามสภาพจริงโดยให้นักเรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมินและครูประเมิน นักเรียนมีความภาคภูมิใจกับผลงานของตนเอง เมื่อทำการทดสอบหลังเรียนก็พบว่านักเรียนมีคะแนนผ่านเกณฑ์การประเมินและมีคะแนนที่สูงขึ้นแสดงว่านักเรียนมีความรู้ที่คงทน ที่ไม่ใช้เพียงความจำระยะสั้น ๆ
ตารางบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
คะแนนเฉลี่ย |
หน่วยการเรียนรู้เรื่อง |
||
เซลล์และโครงสร้างของเซลล์ |
การสร้างอาหารของพืช |
การลำเลียงในพืช |
|
ก่อนเรียน |
1.05 |
3.50 |
4.52 |
หลังเรียน |
3.74 |
7.05 |
13.70 |
จากการปฏิบัติการในครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงตนเองเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้น ใช้สื่อการเรียนรู้ที่เป็นของจริงผสมผสานกับสื่อที่มองเห็นภาพจาการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีความคิดจิเป็นของตนเอง รวมทั้งให้การเสริมแรงในทางบวก สร้างบรรยากาศการเรียนการสอนที่เป็นกันเองทำให้ครูและนักเรียนมีความใกล้ชิดกัน พยายามเน้นกระบวนการคิดให้มากที่สุด และคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลให้มาก ๆ โดยการให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มมีทั้งคนที่เรียนเก่ง เรียนปานกลางและเรียนอ่อนอยู่ด้วยกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือกัน ไม่มีกลุ่มใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนคือนักเรียนสามารถที่จะสร้างองค์ความรู้ของตนเองได้และสามารถที่จะเล่าถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจผ่านผังมโนทัศน์ของตนเองได้เป็นอย่างดี และในผลงานของนักเรียนแสดงออกถึงการมีความคิดสร้างสรรค์ได้อีกทางหนึ่ง ทำให้นักเรียนมีความมั่นใจในตนเอง มีความสามารถในการตัดสินใจ มีความภาคภูมิใจในผลงานของตนเองและมีความรัก หวงแหนธรรมชาติและทรัพยากรในท้องถิ่นเพราะนักเรียนตระหนักถึงคุณค่า และประโยชน์ของสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว
การปรับเปลี่ยนวิธีการสอนในครั้งนี้ส่งผลในทางบวกต่อครูและนักเรียนอย่างมากและที่สำคัญทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าการเขียนรายงานการวิจัยเชิงคุณภาพหรือการวิจัยเชิงปฏิบัตินี้ไม่ยากอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้ว่าการเขียนรายงานฉบับนี้อาจจะมีความบกพร่องอยู่มาก เพราะรายงานฉบับนี้ถือเป็นรายงานฉบับแรกในชีวิตที่เขียนขึ้นในรูปแบบนี้ ถึงอย่างไรก็ตามการการวิจัยจะสำเร็จลงได้ข้าพเจ้าคิดว่าครูต้องย้อนถามตนเองว่าปัญหาในห้องเรียนคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด และจะมีแนวทางในการแก้ไขอย่างไร เพื่อให้เรามองเห็นแนวทางในการพัฒนาซึ่งเป็นไปตามหลักอริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าเมื่อเราเห็นเหตุแห่งปัญหาเราก็จะหาทางแก้ปัญหาได้นั่นเอง
การพัฒนาทักษะกระบวนการคิดและการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเชิงมโนทัศน์นั้นเป็นแนวทางหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้ แต่สำหรับนักเรียนบางคนแนวทางนี้อาจไม่ได้ผล เพราะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น นักเรียนขาดความรับผิดชอบ ครอบครัวมีปัญหานักเรียนอยู่กับญาติ นักเรียนมีภาระงานมากและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นแนวทางการแก้ปัญหาแต่ละวิธีการจะใช้ในการพัฒนากระบวนการคิดและการเรียนรู้ของนักเรียนได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนนั้นเอง
*****************************************************************
ตัวอย่างผลงานนักเรียน
สวัสดีค่ะ