ฤทธิ์ข้างเคียง (พบได้น้อย
ถ้าให้ตามขนาดที่แนะนำ)
ความดันโลหิตสูง เจ็บหน้าอก ใจสั่น
เห็นภาพหลอน เวียนศีรษะ ชัก ปวดศีรษะ
คลื่นไส้ อาเจียน การรับรสไม่ดี ตะคริว
หายใจหอบ หยุดหายใจ ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น
ขนาดยาที่ใช้
รับประทาน 0.2 มิลลิกรัมต่อเม็ด วันละ
3 – 4 ครั้ง นาน 2 - 7 วัน
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ครั้งละ 0.2
มิลลิกรัม (1 มิลลิลิตร) หลังรกคลอด
ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ครั้งละ 0.2 มิลลิกรัม
(1 มิลลิลิตร) หลังรกคลอด
แต่ให้ระมัดระวังในมารดาที่มีความดันโลหิตสูง
การพยาบาล
- ให้ยาด้วยความระมัดระวังในมารดาที่มีความดันโลหิตสูง
- ควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเมื่อได้รับยา
ให้ยาอย่างระมัดระวังและให้ยาตามขนาดที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้อง
- ตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง
- สังเกตอาการระหว่างให้ยาถ้าพบว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้ยา
หรืออาการข้างเคียงของยา รายงาน
แพทย์ทราบ และให้การดูแลใกล้ชิด
paracetamol
เป็นยาระงับปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดฟัน
ปวดกล้ามเนื้อ ใช้ลดไข้ (ไข้จากการติดเชื้อไวรัส
โดยเฉพาะในเด็ก)
เป็นยาชนิดไม่เสพติดที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย
เพราะมีฤทธิ์ข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่ายาในกลุ่ม
NSAIDs และแอสไพริน และให้ผลระงับปวดลดไข้ได้ดี
ข้อบ่งใช้ ควบคุมอาการปวดศีรษะ
ปวดหู ปวดประจำเดือน ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
ปวดฟัน ลดไข้จากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
ใช้ในผู้ป่วยที่แพ้แอสไพริน มีปัญหาเลือดออก
ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด โรคเกาต์
การออกฤทธิ์ ยับยั้งการสังเคราะห์
prostaglandins ในระบบประสาทส่วนกลางได้ดี
แต่ยับยั้งการสร้างสารนี้ที่บริเวณนอกสมองได้น้อยโดยเฉพาะในบริเวณที่เกิดการอักเสบ
ซึ่ง prostaglandins เป็นตัวทำให้เกิดการเจ็บปวด
และทำให้เกิดไข้ที่มีผลต่อศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่ฮัยโปธาลามัส
ยานี้ไม่ฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนตัวของ neutrophil
จึงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบต่ำมากไม่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและไม่มีผลต่อการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
ยาจะออกฤทธิ์สูงสุดในเวลา 30 – 60 นาที
หลังได้รับยา ถ้าได้รับยาเกินขนาดจะมีพิษต่อตับและไต
จึงไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน 7 วัน
ขนาดยาที่ใช้
ผู้ใหญ่และเด็ก (อายุ 12 ปีขึ้นไป) 300 -
600 มิลลิกรัม วันละ 4 – 6 ครั้ง
หรือ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 – 4
ครั้ง ไม่ควรกินยาเกิน 2.6 กรัม ( 8
เม็ด ขนาด 325 มิลลิกรัม 5 เม็ด
ขนาด 500 มิลลิกรัม )
ต่อวันเป็นระยะเวลานาน
เด็ก ให้ขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน
ผลข้างเคียง (พบได้น้อย
ยานี้ถือว่าเป็นยาที่ไม่มีพิษภัยเมื่อใช้ตามขนาดที่แนะนำ)
- ง่วงซึม
- แพ้ยา เช่น มีผื่น บวม
เป็นแผลที่เยื่อบุช่องปาก มีไข้ เป็นต้น
-
ถ้าให้ยาในขนาดที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดตับวายและถึงแก่ความตายได้
- คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อาการดีซ่าน
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การพยาบาล
ให้การพยาบาลและคำแนะนำผู้ป่วยดังนี้
- ควรดื่มน้ำ เครื่องดื่ม หรือรับประทานอาหารเหลวบ่อย ๆ
เพื่อช่วยลดความร้อน
ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดหลังรับประทานอาหาร
- ไม่ซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานาน
เพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด
เกิดพิษและอาการข้างเคียง
- ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับและผู้ที่ติดแอลกอฮอล์
- ถ้าผู้ป่วยได้รับยาเกินขนาด
ควรได้รับการรักษาโดยการล้างท้อง และได้รับยา
N – acetylcysteine ซึ่งได้ผลดีภายใน 10
ชั่วโมงหลังได้รับยาเกินขนาด
MTV (Multivitamin )
เป็นวิตามินรวมใช้เสริมในผู้ป่วยที่ต้องการวิตามินหรือขาดวิตามินต่างๆ
รับประทาน ครั้งละ 1 เม็ด วันละ
2 ครั้ง หรือตามแพทย์สั่ง
ferrous fumarate
เป็นยาเสริมธาตุเหล็ก
ข้อบ่งใช้
รักษาโรคโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก
การออกฤทธิ์
ยาเสริมธาตุเหล็กใช้สำหรับรักษาโรคโลหิตจางที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็กแต่ไม่มีคุณค่าใด
ๆ เลยในการใช้รักษาโรคโลหิตจางชนิดอื่น ๆ
ธาตุเหล็กไปรวมตัวในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นตัวนำพาออกซิเจนไปทั่วร่างกาย
การดูดซึมธาตุเหล็กเกิดขึ้นที่ส่วนสั้น ๆ
ของทางเดินอาหารคือลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอดีนัม
ยาเสริมธาตุเหล็กชนิดที่ค่อยๆ ปล่อยธาตุเหล็กออกมา
ควรใช้ในกรณีที่ยาเสริมธาตุเหล็กชนิดธรรมดาทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องเท่านั้น
เนื่องจากยาอาจผ่านเลยส่วนดีโอดีนัมไปก่อนปล่อยธาตุเหล็กออกมา
ดังนั้น การดูดซึมยาจึงเกิดขึ้นไม่ได้
ขนาดยาที่ใช้
ขนาดการใช้ยาเสริมธาตุเหล็กจะเท่ากันเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็กประเภทใด
ผู้ใหญ่และเด็ก (อายุ 13 ปีขึ้นไป) 2 – 3
มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
แบ่ง 3 มื้อ
หญิงมีครรภ์ วันละ 30 มิลลิกรัม
โดยเป็นปริมาณของธาตุเหล็ก ห้ามกินพร้อมอาหาร
เด็ก (อายุ 3 – 12 ปี) 1 – 1.5
มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
แบ่งเป็น 3 -4 มื้อ
เด็ก (อายุ 6 เดือน – 2 ขวบ)
ให้ได้ถึง 6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัมต่อวัน แบ่งเป็น
3 – 4 มื้อ
เด็ก (อายุต่ำกว่า 2 ขวบ) 10 – 25
มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งเป็น 3 -4 มื้อ
ผลข้างเคียง
- ถ้ากินธาตุเหล็กเกินขนาดสามารถทำให้ตายได้
- การกินยาเกินขนาดมักจะแสดงอาการหลังกินยาแล้ว 30
นาที หรือหลายชั่วโมง อาการที่ปรากฏมีเหน็ดเหนื่อย
อาเจียน ท้องเดิน อึดอัดแน่นท้อง ท้องผูก
เบื่ออาหาร ชีพจรอ่อนและเต้นเร็ว
และความดันโลหิตต่ำ อุจจาระสีดำ
- ถ้ากินยาขนาดสูงมากจะเกิดอาการช็อก ปอดบวม
การพยาบาล
- การกินยาเสริมธาตุเหล็กและยาที่มีธาตุเหล็ก
ต้องกินเวลาท้องว่างจึงจะให้ผลดีที่สุด
แต่ถ้ากินยาเวลาท้องว่างแล้วเกิดอาการไม่สบายท้อง
ก็ให้กินยาพร้อมอาหาร
-
แนะนำผู้ป่วยที่ทานยาเสริมธาตุเหล็กว่าจะทำให้มีอุจจาระสีดำได้
แต่ถ้าอุจจาระเป็นสีดำเหมือนยางมะตอย
อาจแสดงว่ามีการตกเลือดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ได้
ถ้ามีอาการเช่นนี้ให้รีบปรึกษาแพทย์
- แนะนำผู้ป่วยไม่ให้เคี้ยวหรือขบเม็ดยา
เพราะจะทำให้ฟันติดสีได้
ถ้าเป็นยาน้ำควรผสมกับน้ำหรือน้ำผลไม้
และดูดด้วยหลอดดูดเพื่อไม่ให้ยาสัมผัสฟัน
การวางแผนการพยาบาล
ปัญหาและข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลในระยะก่อนคลอดและระยะคลอด
-
มีการดำเนินการคลอดระยะที่หนึ่งเนิ่นนานเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวน้อยกว่าปกติ
-
ผู้คลอดไม่สุขสบายเจ็บปวดจากการเจ็บครรภ์เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวถี่ขึ้น
-
ผู้คลอดและทารกมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
-
ผู้คลอดและทารกมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากระยะที่สองของการคลอดยาวนานและได้รับการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
-
มีความกลัวและวิตกกังวลเนื่องจากการคลอดยากและได้รับการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
-
มีโอกาสติดเชื้อของมารดาและทารกเนื่องจากมีการดำเนินการคลอดเนิ่นนาน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่
1
-
มีการดำเนินการคลอดระยะที่หนึ่งเนิ่นนานเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวน้อยกว่าปกติ
ข้อมูลสนับสนุน
- ผู้คลอดมีอายุน้อย คือ อายุ 17 ปี
และตั้งครรภ์เป็นครรภ์แรก
-
2.
อายุครรภ์ GA 41+1 wks by
date HF ¾ > สะดือ estimate fetal
size 3,500 gms
- การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี เมื่อเข้าสู่ระยะ
active phase ความนาน (duration) < 40
วินาที
ระยะห่าง (interval) > 3 นาที
ความตึงตัวของมดลูก +1 ถึง +2
- เมื่อเข้าสู่ระยะ active phase
มีระยะเวลา > 5 ชั่วโมง
และปากมดลูกเปิด < 1.2 ซม./ ชม.
- การเคลื่อนต่ำของทารกและการเปิดขยายของปากมดลูกไม่ก้าวหน้า
-
ผู้คลอดมีสีหน้าแสดงถึงความวิตกกังวลและบอกว่ากลัวต่อการคลอดบุตร
วัตถุประสงค์
-
เพื่อให้ผู้คลอดได้รับการประเมินภาวะมดลูกหดรัดตัวน้อยกว่าปกติได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
- เพื่อให้มดลูกมีการหดรัดตัวแรงขึ้น ถี่ขึ้น
และนานขึ้น อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เพื่อให้การคลอดดำเนินไปตามปกติ
เกณฑ์การประเมินผล
- ระยะที่ 1 ของการคลอด ระยะปากมดลูกเปิดช้า
(latent phase) ครรภ์แรกเฉลี่ย 8 ชม.
แต่ไม่เกิน 20 ชม.
- ระยะที่ 1 ของการคลอด
ระยะปากมดลูกเปิดเร็ว (active phase)
ครรภ์แรกไม่เกิน 5 ชม.
- มดลูกหดรัดตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ duration 40 - 60
วินาที interval 2 – 3 นาที
การตึงตัวของกล้ามเนื้อมดลูก (intensity) +3
- มีการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกเพิ่มขึ้น ภายใน
ระยะปากมดลูกเปิดช้า 4 ชม. ปากมดลูกเปิด
0.3 ซม./ชม. ระยะปากมดลูกเปิดเร็ว 2
ชม. ปากมดลูกเปิด 1.2 ซม./ชม. ในครรภ์แรก
การพยาบาล
- แรกรับควรศึกษาประวัติรายงานการฝากครรภ์และซักประวัติเพิ่มเติม
เช่น อาการสำคัญที่มาโรง-พยาบาล ประวัติการตั้งครรภ์
อาการผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและประวัติเจ็บป่วยของครอบครัวและโรคทางพันธุกรรม
เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
และตรวจร่างกายตามระบบ เพื่อประเมินความผิดปกติของระบบต่างๆ
และตรวจครรภ์เพื่อประเมินสภาพทารกและขนาดของตัวทารก
เพื่อนำไปวางแผนการพยาบาล
- ประเมินความก้าวหน้าของการคลอดโดยใช้ partograph
และประเมินความผิดปกติของการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อพิจารณาความก้าวหน้าของการคลอดในการนำไปวางแผนการพยาบาล
-
ประเมินซ้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าสู่ระยะปากมดลูกเปิดเร็วจริง
(active phase) โดยประเมินจากสิ่งต่อไปนี้ประกอบกัน
3.1 จากการตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด 2 –
3 ซม. และบางร้อยละ 50 เป็นอย่างน้อย
3.2 มดลูกเคยมีการหดรัดตัวดีมาก่อน
คือ หดรัดตัวแรงดีทุก 2 -3 นาที
หดรัดตัวนาน 40 – 60 วินาที และสม่ำเสมอ
- ถ้าปากมดลูกยังเปิดน้อย ถุงน้ำทูนหัวยังไม่แตก
และส่วนนำลงเข้าช่องเชิงกรานแล้ว
กระตุ้นให้ผู้คลอดลุกเดิน
ถ้าลุกเดินไม่ได้ให้เปลี่ยนท่านอน
ท่าที่ช่วยให้มดลูกหดรัดตัวดีขึ้นคือท่าศีรษะสูง
เพราะการเดินหรือการนอนอยู่ในท่าศีรษะสูง
จะทำให้น้ำหนักของทารกและมดลูกตกลงบริเวณปากมดลูก
เป็นการกระตุ้นเฟอร์กูสันรีเฟล็กซ์
มดลูกจึงหดรัดตัวดีขึ้น
-
ถ้าปากมดลูกเปิดมากขึ้นหรือมีน้ำทูนหัวแตกแล้วให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียง
นอนศีรษะสูงและนอนตะแคงซ้าย
เพราะจะทำให้มดลูกหดรัดตัวแรงขึ้น มีการหดรัดตัวประสานกันดี
และช่วยลดการกดทับเส้นเลือด inferior vena
cava
- ถ้าผู้คลอดปัสสาวะเต็ม หรือไม่ได้ปัสสาวะเลยภายใน 2 –
4 ชั่วโมง
ที่ผ่านมาให้กระตุ้นให้ผู้คลอดถ่ายปัสสาวะ
อาจต้องสวนปัสสาวะให้ถ้าปัสสาวะเต็มและปัสสาวะเองไม่ได้
เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าของการคลอด
เพราะถ้าปัสสาวะเต็มจะขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก
- ถ้าปากมดลูกเปิดไม่มากนักและไม่มีข้อห้ามในการสวนอุจจาระ
ให้สวนอุจจาระให้ ถ้าสวนนานเกิน 12
ชั่วโมงไปแล้ว อาจสวนซ้ำอีก
เพราะถ้าอุจจาระเต็มลำไส้ส่วนปลายทำให้ไปขัดขวางรีเฟล็กซ์ที่เกี่ยวข้องกับการหดรัดตัวของมดลูก
เพราะมีการต่อเนื่องกันระหว่างประสาทที่เลี้ยงมดลูกกับลำไส้ส่วนปลาย
- ดูแลให้ผู้คลอดได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้มดลูกมีการหดรัดตัวดีขึ้น
ควรให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ให้งดน้ำและอาหารทางปาก
เพราะมีโอกาสที่จะเกิดการคลอดยาวนานหรือคลอดยาก
บางครั้งอาจต้องช่วยคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการ
- ถ้าผู้คลอดเข้าสู่ระยะปากมดลูกเปิดเร็วแล้ว
รวมทั้งปากมดลูกเปิดตั้งแต่ 3 เซนติเมตร ขึ้นไป
บางตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป
และส่วนนำลงสู่เข้าช่องเชิงกราน ให้เจาะถุงน้ำทูนหัว
ถ้าไม่มีข้อห้ามในการทำเพื่อกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวดีขึ้น
- ถ้าเจาะถุงน้ำทูนหัวแล้ว มดลูกยังหดรัดตัวไม่ดีขึ้น
ให้รายงานแพทย์ทราบ
ถ้าแพทย์ประเมินแล้วว่าไม่มีภาวะศีรษะทารกและช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกัน
และแพทย์สั่งให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก คือ
ออกซิโตซิน
ให้ดูแลผู้คลอดได้รับยาเร่งคลอดตามแผนการรักษาของแพทย์
เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวดีขึ้นและป้องกันอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนของการได้รับยาเร่งคลอด
- ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกเป็นระยะๆ ทุก 30
นาที เป็นอย่างน้อยสำหรับระยะที่หนึ่ง และทุก 15
นาที สำหรับระยะที่สอง ประเมินเสียงหัวใจทารก
และประเมินความก้าวหน้าของการคลอดได้แก่
การเปิดขยายของปากมดลูก ระดับส่วนนำ การหมุนภายในของทารก
ทุก 4 ชั่วโมง ในระยะปากมดลูกเปิดช้า และ ทุก
2 ชั่วโมง ในระยะปากมดลูกเปิดเร็ว
ถ้าการคลอดไม่ก้าวหน้าขึ้นให้รายงานแพทย์ทราบ
- ดูแลให้ผู้คลอดสุขสบาย พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ลดความวิตกกังวลจากความเจ็บปวด โดยสร้าง สัมพันธภาพที่ดีกับผู้คลอด
เพื่อความร่วมมือในการพยาบาลและทัศนคติที่ดี
เปิดโอกาสให้ผู้คลอดซักถาม
และควรให้ความรู้เกี่ยวกับการคาดคะเนเวลาคลอด กระบวนของการคลอด
และบอกถึงความก้าวหน้าของการคลอดให้ผู้คลอดทราบ
เพราะถ้าผู้คลอดเกิดความวิตกกังวลสูงก็จะทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
ไม่ประสานกันได้
ประเมินผลการพยาบาล
- ระยะที่ 1 ของการคลอด
ระยะปากมดลูกเปิดช้า (latent phase) ใช้เวลา 4
ชั่วโมง
- ระยะที่ 1 ของการคลอด ระยะปากมดลูกเปิดเร็ว
(active phase) ปากมดลูกเปิดช้าและเปิดขยาย <
1.2 ซม./ชม. แต่หลังจากได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
คือ ออกซิโตซิน และได้รับการเจาะถุงน้ำทูนหัวแล้ว
มีความก้าวหน้าของการคลอดเพิ่มมากขึ้น
- มดลูกหดรัดตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ duration 40 - 60
วินาที interval 2 – 3 นาที
การตึงตัวของกล้ามเนื้อมดลูก (intensity) +3
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่
2
-
ผู้คลอดไม่สุขสบายเจ็บปวดจากการเจ็บครรภ์เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวถี่ขึ้น
ข้อมูลสนับสนุน
- ผู้คลอดทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
พลิกตัวไปมาและส่งเสียงร้องครางเสียงดังขณะมดลูกหดรัดตัว
- มดลูกหดรัดตัวนาน 45 – 50 วินาที ระยะห่าง 3
นาที ความแรง +2
ใช้มือลูบหน้าท้องเป็นบางครั้ง
- ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
วัตถุประสงค์
- เพื่อให้ผู้คลอดสุขสบายขึ้น
- เพื่อให้ผู้คลอดสามารถเผชิญความเจ็บปวดได้อย่างเหมาะสม
เกณฑ์การประเมินผล
- ผู้คลอดพักได้ขณะที่มดลูกคลายตัว สีหน้าดีขึ้น
- สามารถเผชิญกับความเจ็บปวดได้เหมาะสม คือ ไม่ส่งเสียงร้องครวญคราง
ใช้มือลูบหน้าท้องร่วมกับเทคนิคการหายใจทุกครั้งที่มดลูกหดรัดตัว
- ให้ความร่วมมือในการรักษาและการพยาบาลในขณะรอคลอด
การพยาบาล
- อธิบายถึงสาเหตุของการเจ็บครรภ์ว่าเป็นภาวะปกติ
หลังคลอดแล้วอาการเจ็บครรภ์จะหายไป
อธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการคลอดเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่ถูกต้อง
มั่นใจและรู้สึกปลอดภัยในการคลอด
ซึ่งการให้ความรู้หรือคำแนะนำใดๆ
ควรทำในขณะที่มดลูกยังหดรัดตัวไม่รุนแรงมากนักเพราะผู้คลอดยังมีสมาธิในการรับฟัง
-
ประเมินระดับความรุนแรงของความเจ็บปวดที่ผู้คลอดได้รับ
เพื่อให้การช่วยเหลือได้ถูกต้อง
โดยประเมินจากพฤติกรรมของผู้คลอด
ถ้าพบผู้คลอดมีอาการเจ็บปวดรุนแรงมากไม่สามารถใช้วิธีการลูบหน้าท้อง
หรือผ่อนลมหายใจได้ ควรรายงานแพทย์ทราบเพื่อพิจารณาให้ยาแก้ปวด
ซึ่งจะทำให้ผู้คลอดพักผ่อนได้มากขึ้นและลดความอ่อนล้าเมื่อเข้าสู่ระยะที่สองของการคลอด
- ดูแลให้ผู้คลอดใช้เทคนิคการเพ่งจุดสนใจ
ใช้มือลูบหน้าท้องพร้อมกับใช้เทคนิคการหายใจ แบบตื้น เร็ว
เบา ทุกครั้งที่มดลูกหดรัดตัว และมีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
เพื่อให้ผู้คลอดสามารถเผชิญกับความเจ็บปวดได้
ทำให้ลดการใช้ยาแก้ปวดและยานอนหลับ
และเพื่อให้ผู้คลอดได้พักผ่อนได้ ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ
เป็นการสงวนพลังงานของร่างกายไว้
ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการเบ่งคลอด
- ดูแลให้ผู้คลอดนอนพักผ่อนในท่าที่สบาย และเปลี่ยนท่าบ่อยๆ
อย่างเหมาะสม จะช่วยให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย
และส่งเสริมความก้าวหน้าในการคลอด
- ดูแลความสุขสบายทั่วไป
เพื่อลดความเครียดและทำให้สุขสบายขึ้น เช่น
เช็ดหน้าให้เมื่อมีเหงื่อออก ให้สวมใส่เสื้อ ผ้าถุงที่สะอาด
ไม่อับชื้น ดูแลจัดผ้าปูที่นอนให้เรียบตึง สะอาด
ถ้าเลอะต้องหมั่นเปลี่ยนเพื่อให้ผู้คลอดสุขสบายขึ้น
ดูแลความสะอาดของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ที่มีมูกหรือน้ำคร่ำไหลออกมา
-
เปิดโอกาสให้สามีหรือญาติมีส่วนร่วมในการดูแลและให้กำลังแก่ผู้คลอดเพื่อเผชิญกับความเจ็บปวดได้ดีขึ้น
โดยแนะนำให้สามีหรือญาติช่วยนวดบริเวณบั้นเอว ต้นขา
และหน้าขาของผู้คลอดเพื่อกระตุ้นใยประสาทขนาดใหญ่ให้ทำงานมากขึ้น
จะช่วยให้ผู้คลอดรู้สึกบรรเทาความเจ็บปวดได้
- อยู่เป็นเพื่อนให้กำลังใจ
พร้อมบอกความก้าวหน้าของการคลอดให้ทราบเป็นระยะ
และให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ยอมรับพฤติกรรม
แสดงความเข้าใจ ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว หรือดุว่า
โต้ตอบผู้คลอด
ให้กำลังใจและชมเชยเป็นระยะเมื่อผู้คลอดพยายามควบคุมตนเอง
- พูดปลอบโยนและแสดงความเห็นใจในความเจ็บปวดที่ผู้คลอดกำลังเผชิญ
คอยซักถามถึงความเจ็บปวด และความต้องการของผู้คลอดเป็นระยะๆ
จะช่วยให้ผู้คลอดรู้สึกว่าได้รับการเอาใจใส่ที่ดีจากพยาบาล
เกิดการผ่อนคลายทางด้านจิตใจเกิดความอบอุ่นใจและมีกำลังใจ
ประเมินผลการพยาบาล
- ผู้คลอดมีสีหน้าดีขึ้น
- พักได้มากขึ้นมีอาการเจ็บครรภ์น้อยลง
- ให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลมากขึ้น
- สามารถเผชิญกับความเจ็บปวดได้เหมาะสม คือ
ไม่ส่งเสียงร้องครวญคราง
ใช้มือลูบหน้าท้องร่วมกับเทคนิคการหายใจทุกครั้งที่มดลูกหดรัดตัว
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่
3
-
ผู้คลอดและทารกมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
ข้อมูลสนับสนุน
- การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี เมื่อเข้าสู่ระยะ
active phase ความนาน (duration) < 40
วินาที
ระยะห่าง (interval) > 3 นาที
ความตึงตัวของมดลูก +1 ถึง +2
- ไม่มีความก้าวหน้าของการคลอดเมื่อเข้าสู่ระยะ active
phase
- ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก คือ 5%
D/N/2 1,000 ml + Oxytocin 10 unit
vein drip start 10 µd/min
วัตถุประสงค์
-
เพื่อให้ผู้คลอดและทารกปลอดภัยจากการได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
- เพื่อให้มดลูกมีการหดรัดตัวแรงขึ้น ถี่ขึ้น
และนานขึ้น อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เพื่อให้การคลอดดำเนินไปตามปกติ
เกณฑ์การประเมินผล
- มดลูกหดรัดตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติตามต้องการคือ duration
40 – 60 วินาที interval 2 – 3 นาที
Intensity +3 ไม่มี hyperstimulation
ซึ่งจะทำให้เกิด tetanic uterine contraction
- FHS อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 120 – 160 ครั้ง/นาที สม่ำเสมอ
ไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นว่าทารกในครรภ์เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
เช่น FHS < 120 ครั้ง/นาที หรือ FHS >
160 ครั้ง/นาที มีการถ่ายขี้เทาของทารก (meconium stain)
หรือ ดิ้นน้อยลง
- ทารกเกิดรอด มารดาปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรง
การพยาบาล
- ประเมินความพร้อมของผู้คลอดก่อนให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
โดยประเมินสภาพของส่วนนำและปากมดลูก
โดยใช้ระบบการให้คะแนนของ Bishope scorning system
และประเมินว่าไม่มีภาวะศีรษะทารกและช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกัน
ถ้าประเมินอย่างถูกต้องก็จะทำให้การชักนำการคลอดประสบผลสำเร็จและปลอดภัยทั้งมารดาและทารก
- เตรียมยาให้ถูกต้องตามแผนการรักษาของแพทย์ โดยผสม
5%D/N/2 1,000 ml + Oxytocin 10
unit เขย่าขวดน้ำเกลือจนยากระจายทั่ว
ติดป้ายที่ขวดน้ำเกลือโดยเขียนชื่อและจำนวนยาด้วยหมึกสีแดงให้เห็นชัดเจน
เพื่อให้ผู้คลอดได้รับยาที่ถูกต้องตามแผนการรักษาของแพทย์
- อธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจถึงเหตุผล
การช่วยเหลือและประโยชน์หรือผลดีที่ผู้คลอดจะได้รับจากการได้รับยาเร่งคลอดเพื่อลดความวิตกกังวล
ผู้คลอดให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลและแนะนำผู้คลอดไม่ให้ปรับจำนวนหยดของยาเอง
เพื่อไม่ให้ผู้คลอดได้รับยามากเกินไปและเกิดอันตรายได้
- ให้ยาแก่ผู้คลอดตามแผนการรักษา โดยให้ 5%D/N/2
1,000 ml + oxytocin 10 unit
หยดเข้าเส้นเลือดดำ เริ่มให้ยา ที่ 10 µd/min หรือ
10 ml/hr
โดยใช้อุปกรณ์ควบคุมจำนวนหยดของยาที่ได้รับการตรวจสอบการทำงานของเครื่องมือแล้ว
เพื่อให้ผู้คลอดได้รับยาถูกต้องตามจำนวนที่แพทย์สั่งและสามารถควบคุมจำนวนหยดของยาได้
- ในระยะ 15 นาทีแรก ที่ให้ยา
ต้องเฝ้าดูการหดรัดตัวของมดลูก
เพื่อประเมินความไวของกล้ามเนื้อมดลูกต่อยา
ถ้าปกติให้ประเมินทุก 30 นาที เป็นอย่างน้อย
และทุกครั้งก่อนและหลังปรับจำนวนหยด 2 – 3 นาที
- ปรับเพิ่มจำนวนหยดของยาทุกๆ 15 – 30 นาที
โดยเพิ่มครั้งละ 10 µd/min จนมดลูกหดรัดตัวดี
คือ หดรัดตัวนาน (duration) 40 - 60
วินาที ระยะห่าง (interval) 2 – 3 นาที
และมีความแรงระดับแรง (intensity +3 )
เพื่อให้มีความก้าวหน้าของปากมดลูกและการเคลื่อนต่ำลงมาของส่วนนำ
ไม่ควรให้ยาเกิน 15 มิลลิยูนิต ต่อนาที หรือ
50 µd/min
ถ้ายังหดรัดตัวไม่ดีขึ้นให้รายงานแพทย์ทราบเพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอีกหรือไม่
แต่ไม่ควรเกิน 100 µd/min
- ดูแลให้ผู้คลอดงดน้ำและสารอาหารทางปาก
และดูแลได้รับสารน้ำทางเส้นเลือดดำ
โดยให้สารน้ำอีกขวดหนึ่งควบคู่ไปกับการให้ยา
เพื่อให้ผู้คลอดได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอและไม่ให้เกิดการอุดตันของเข็มถ้าต้องหยุดให้ยา
- ฟังเสียงหัวใจของทารกในครรภ์ทุกๆ 30 นาที
เป็นอย่างน้อย เพราะมดลูกหดรัดตัวแรงและถี่ขึ้น
เลือดที่ไปยังทารกอาจน้อยลงทำให้ทารกขาดออกซิเจนได้
- ตรวจการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 30 นาที
ถ้ามดลูกมีการหดรัดตัวนานกว่า 90 วินาที
หรือความถี่ของการหดรัดตัวของมดลูกมากกว่าทุก 2
นาที หรือมี 5 ครั้งใน 10 นาที
ถือเป็น hyperstimulation ให้หยุดยาทันที
เพราะจะทำให้เกิด tetanic uterine
contraction ซึ่งจะเป็นอันตรายทั้งมารดาและทารก
ให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้าย ให้ออกซิเจน 4
ลิตรต่อนาที ฟัง FHS และ จับ uterine
contraction ทุก 5 นาที
และรายงานแพทย์ทราบ
- วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของผู้คลอด
- ถ้าให้ยากระตุ้นมดลูกอย่างถูกต้องนาน 5 ชั่วโมงแล้ว
แต่ไม่มีความก้าวหน้าของการคลอดให้รายงานแพทย์ทราบเพื่อพิจารณาหยุดยา
และประเมินผู้คลอดอีกครั้งและอาจพิจารณาช่วยคลอดโดยวิธีอื่นต่อไป
- ในระยะหลังคลอด
ดูแลให้ผู้คลอดได้รับยาต่ออีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวดี และป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ประเมินผลการพยาบาล
- มดลูกหดรัดตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติตามต้องการคือ duration
40 – 60 วินาที interval 2 – 3 นาที
intensity +3 ไม่มีภาวะ tetanic
uterine contraction
- FHS อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 140 – 156 ครั้ง/นาที สม่ำเสมอ
ไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นว่าทารกในครรภ์เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
เด็กดิ้นดี
- มารดาปลอดภัยจากการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
ทารกเกิดรอด สมบูรณ์แข็งแรงดี
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่
4
-
ผู้คลอดและทารกมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากระยะที่สองของการคลอดยาวนานและได้รับการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
ข้อมูลสนับสนุน
- มีระยะที่สองของการคลอดยาวนานทำให้มารดาอ่อนเพลีย หมดแรงเบ่ง
- ขณะให้เบ่งคลอดผู้คลอดไม่ค่อยมีแรงเบ่ง จะเบ่งสั้นๆ
และเบ่งไม่ถูกต้อง ไม่มีการเคลื่อนต่ำของศีรษะทารก
- ผู้คลอดครรภ์แรก ปากมดลูกเปิด 10 เซนติเมตร
และผู้คลอดเบ่งนาน 1 ชั่วโมง 20 นาที
แล้วแต่ไม่มีความก้าวหน้าของการคลอดและได้รับการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
- อัตราการเต้นของหัวใจทารก 112 – 122 ครั้ง/นาที
ไม่สม่ำเสมอ
วัตถุประสงค์
-
เพื่อให้มารดาและทารกปลอดภัยจากการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
- เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
-
เพื่อให้มารดาให้ความร่วมมือและปฏิบัติตัวได้ถูกต้องขณะช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
เกณฑ์การประเมินผล
- ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญกาศ
เช่น การฉีกขาดของปากมดลูก ช่องทางคลอด
และตกเลือดจากการฉีกขาดของช่องทางคลอด
- อัตราการเต้นของหัวใจทารกอยู่ระหว่าง 120 -
160 ครั้ง/นาที สม่ำเสมอ ไม่พบขี้เทาในน้ำคร่ำ
- ทารกไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น
ขาดออกซิเจน เลือดออกในสมอง
การพยาบาล
- อธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจถึงเหตุผลและวิธีการทำคลอด
รวมทั้งประโยชน์หรือผลดีที่ผู้คลอดจะได้รับ
บอกข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ในการทำคลอด
เพื่อให้ผู้คลอดคลายความวิตกกังวลและให้ความมือในการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญกาศ
- อธิบายการปฏิบัติตนขณะทำคลอด ได้แก่
การเบ่งอย่างถูกวิธีซึ่งผู้คลอดต้องเบ่งขณะมดลูกหดรัดตัวพร้อมกับผู้ทำคลอดออกแรงดึงและสอนเทคนิคการหายใจที่ถูกต้อง
เพื่อให้มารดาให้ความร่วมมือได้ถูกต้อง
- จัดเตรียมผู้คลอด โดยจัดท่า lithotomy
และทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและฝีเย็บ
เพื่อสะดวกในการช่วยคลอดและป้องกันการติดเชื้อขณะคลอด
สวนปัสสาวะและตรวจภายในซ้ำตรวจท่าและระดับของส่วนนำเพื่อความแน่ใจ
- เตรียมอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆ ให้พร้อม
เตรียมเครื่องดูดสูญญากาศพร้อมทั้งถ้วยสูญญากาศให้เหมาะสมกับขนาดของศีรษะทารก
เครื่องช่วยหายใจและเครื่องช่วยฟื้นคืนชีพทารก
เพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
-
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกตลอดระยะที่ทำคลอดและประเมินเสียงหัวใจของทารกทุกครั้งที่มดลูกคลายตัว
ถ้า FHS น้อยกว่า 100 ครั้ง หรือ
มากกว่า 160 ครั้ง/นาที
แสดงว่าทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน ให้ออกซิเจนแก่ผู้คลอด 4
ลิตรต่อนาที เพื่อแก้ไขภาวะทารกขาดออกซิเจน
- ตัดฝีเย็บของผู้คลอดให้กว้างพอควร
เพื่อป้องกันการฉีกขาดของฝีเย็บขณะทำคลอด
ซึ่งถ้าฝีเย็บฉีกขาดเองจากการคลอดจะทำให้ฝีเย็บบอบช้ำมากและซ่อมแซมยากกว่า
- หลังจากผู้ทำคลอดใส่ถ้วยสูญญากาศแล้วต้องต