ลำดับนั้น ท่านพระสีวลีเถระ ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับเอตทัคคะแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนแล้ว เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า “ปทุมุตตระ” ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ได้ไปยังพระวิหารโดยนัยดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังยืนอยู่ท้ายบริษัท ก็กำลังฟังธรรม ในเห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีลาภ แล้วคิดว่า ในอนาคตกาลแม้เราก็ควรเป็นเช่นภิกษุรูปนี้บ้าง จึงได้นิมนต์พระทศพล ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน แล้วได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกรรมดีที่สั่งสมไว้นี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาสมบัติอื่นเลย หากแต่ในอนาคตกาล ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แม้ข้าพระองค์พึงก็เป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีลาภเหมือนเช่นภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศนั้นเถิด".
พระศาสดา ทรงเห็นว่าเขาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า "ความปรารถนาของเธอนี้ จักสำเร็จในสำนักของพระโคดมพุทธเจ้าในอนาคตกาล" แล้วเสด็จหลีกไป. กุลบุตรนั้น ได้กระทำกุศลไว้จนตลอดชีวิตแล้ว ได้เสวยสมบัติทั้ง ๒ ในเทวโลกและมนุษยโลก
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า "วิปัสสี" เขาได้เกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากพันธุมดีนคร ในสมัยนั้น ชนชาวพันธุมดีนคร ได้สนทนากันกับพระราชาแล้วได้ถวายทานแด่พระทศพลเจ้า.
วันหนึ่ง คนทั้งหมดได้รวมเป็นพวกเดียวกัน เมื่อจะถวายทานก็ตรวจดูว่า ความเลิศแห่งทานของพวกเรามีหรือไม่หนอ ไม่ได้เห็นน้ำผึ้งและนมส้ม. คนเหล่านั้นจึงคิดว่าพวกเราจักนำมาจากที่ไหนหนอ จึงมอบหน้าที่ให้พวกบุรุษยืนอยู่ที่หนทางจากชนบทเข้าพระนคร.
ครั้งนั้น กุลบุตรคนนั้นถือเอาหม้อนมส้มมาจากบ้านของตน เดินทางไปยังเมืองด้วย คิดว่าเราจักแลกนำอะไรบางอย่างมา ดังนี้ มองไปเห็นสถานที่อันมีความผาสุกคิดว่า เราจักล้างหน้า ชำระล้างมือและเท้าให้สะอาดก่อนแล้วจึงจักเข้าไปดังนี้ แล้วได้มองเห็นรังผึ้งอันไม่มีตัวผึ้งประมาณเท่าหัวไถ คิดว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เราด้วยบุญ จึงถือเอาแล้ว เข้าไปยังพระนคร.
บุรุษที่ชาวพระนครมอบหมายหน้าที่ให้ เห็นเขาแล้วจึงถามว่า “แน่ะเพื่อน ท่านนำน้ำผึ้งเป็นต้นนี้มาเพื่อใคร”.
เขาตอบว่า “นาย เรามิได้นำมาเพื่อใคร สิ่งนี้เราขาย”.
บุรุษนั้นจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงถือเอากหาปณะนี้แล้ว จงให้น้ำผึ้งและนมส้มนั้นเถิด”.
เขาคิดว่า น้ำผึ้งเป็นต้นนี้มิได้มีค่ามากสำหรับเราเลย แต่บุรุษนี้ย่อมให้ราคามากโดยการให้ราคาครั้งเดียวเราจักพิจารณาดู ต่อแต่นั้นเขาจึงกล่าวกะชาวเมืองนั้นว่า “เราจะไม่ยอมให้ด้วยราคาเพียงกหาปณะเดียว”.
บุรุษชาวเมืองจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านรับกหาปณะ ๒ อันไป แล้วจงให้น้ำผึ้งเป็นต้นเถิด”
เขากล่าวว่า “ถึงจะให้กหาปณะ ๒ อัน เราก็ไม่ยอมให้”. บุรุษชาวเมืองเพิ่มกหาปณะขึ้นด้วยอุบายนั้น จนถึงพันกหาปณะ.
เขาคิดว่า เราไม่ควรเพิ่มราคาขึ้น หยุดไว้ก่อน เราจักถามถึงการงานที่ผู้นี้จะพึงทำ.
ลำดับนั้นเขาจึงกล่าวกะบุรุษชาวเมืองนั้นว่า “น้ำผึ้งเป็นต้นนี้ มิได้มีค่ามีราคามากเลย แต่ท่านให้ราคาเสียมากมาย ท่านจะรับน้ำผึ้งเป็นต้นนี้ไปเพราะจะทำอะไร”.
บุรุษชาวเมืองชี้แจงว่า “ท่านผู้เจริญ ชาวพระนครในที่นี้ ได้ขัดแย้งกับพระราชากำลังถวายทานแด่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า มองไม่เห็นน้ำผึ้งเป็นต้นทั้งสองนี้ ในทานอันเลิศ จึงใช้ให้เรามาแสวงหา ถ้าว่าจักไม่ได้น้ำผึ้งเป็นต้นทั้งสองนี้ไซร้ พวกชาวเมือง ก็จักมีความพ่ายแพ้แน่ เพราะฉะนั้นเราให้ทรัพย์พันกหาปณะแล้ว จะขอรับน้ำผึ้งเป็นต้นนี้ไป”.
เขากล่าวว่า “ก็น้ำผึ้งเป็นต้นนี้ สมควรแก่พวกชาวเมืองเท่านั้นหรือ หรือว่า สมควรเพื่อให้แก่ชนเหล่าอื่นก็ได้”.
บุรุษชาวเมืองตอบว่า “น้ำผึ้งเป็นต้นนี้ เรามิได้ห้ามเพื่อจะให้แก่ใคร”.
เขากล่าวว่า “มีใครบ้างไหม ที่ให้ทรัพย์พันหนึ่งตลอดวันหนึ่งในทานของพวกชาวพระนคร”
บุรุษชาวเมืองตอบว่า “ไม่มีดอกเพื่อน”.
เขากล่าวว่า “น้ำผึ้งเป็นต้นนี้ ที่เราให้แก่พวกชาวเมืองเหล่านั้น ท่านจงรู้ว่ามีค่าราคาตั้งพันเชียวนะ”.
บุรุษชาวเมืองตอบว่า “ใช่ เรารู้”.
เขากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจงไปท่านจงบอกให้พวกชาวเมืองรู้ว่า บุรุษคนหนึ่ง ไม่ยอมให้สิ่งของเหล่านี้ด้วยมูลค่าสองพัน เขาประสงค์จะร่วมกับพวกท่านให้ด้วยมือของตนเอง พวกท่านจึงหมดความกังวล เพราะเหตุแห่งสิ่งของทั้งสองอย่างนี้เถิด”.
บุรุษชาวเมืองกล่าวว่า “ท่านจงเป็นพยานของผู้มีส่วนเป็นหัวหน้าในทานนี้ด้วยเถิด" แล้วก็ไป
ส่วนกุลบุตรนั้น ได้เอากหาปณะที่ตนเก็บไว้เพื่อเสบียงเดินทางจากบ้าน ไปซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ทำให้ป่น นำเอาน้ำส้มมาจากนมส้มแล้วคั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยจุณเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ใส่ลงในใบบัวตระเตรียมสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ถือไปนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล.
เมื่อมหาชนเป็นอันมากนำเอาสักการะไป เขามองดูวาระที่จะถึงแก่ตนในลำดับ รู้ช่องทางแล้วจึงเข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ข้าพระองค์ รับสักการะนี้เถิด”.
พระศาสดาทรงอนุเคราะห์เขา ทรงรับสักการะนั้น ด้วยบาตรศิลา อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายแล้ว ได้ทรงอธิษฐานโดยประการที่เมื่อถวายแก่ภิกษุ ๖ ล้าน ๘ แสนรูป สักการะก็ไม่หมดไป.
กุลบุตรนั้น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เสร็จภัตรกิจเรียบร้อยแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว วันนี้พวกชาวพันธุมดีนครนำ สักการะมาถวายพระองค์ ด้วยผลแห่งการถวายสักการะนี้ แม้ข้าพระองค์พึงเป็นผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ ในภพที่เกิดแล้วเกิดแล้วเถิด”
พระศาสดาตรัสว่า “จงเป็นอย่างปรารถนาเถิดกุลบุตร” แล้วทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขา และชาวพระนคร แล้วก็เสด็จหลีกไป.
กุลบุตรคนนั้น ทำกุศลจนตลอดชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลก และมนุษยโลก
เชิญอ่านรายละเอียดต่อได้ที่นี่นะคะ
อรรถกถาสีวลิเถรปทาน: บุพกรรมของพระสีวลี
http://gotoknow.org/blog/veeranon/316088
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองค่ะ
ไม่มีความเห็น