ดรีมทีม


เรื่องของโคชฟุตบอลที่ยอมมาเป็นโคชให้เด็กอนุบาลเล่นชักกะเย่อ ทิ้งเรื่องใหญ่ๆมาทำเรื่องเล็กๆสำหรับเด็กเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่

          วันนี้ผมกลับจากแม่สอดถึงบ้านราว 5 โมงเย็น รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุด เพื่อไปร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพของพ่อคุณทิวา ผ่องแผ้ว สามีคุณเยาวเรศ (แอน) พยาบาลที่เคยทำงานด้วยกันที่โรงพยาบาลบ้านตาก ตอนนี้ย้ายกลับบ้านที่จังหวัดกำแพงเพชร ทั้งแอนและทิวา รวมทั้งน้องภูมิ (ลูกชาย) สนิทกับครอบครัวผมทั้งพ่อแม่และเด็กๆ "มิตรภาพที่ดีลืมยาก" ผมขับรถส่วนตัวไปกับครอบครัวและอีกคันหนึ่งมีพี่เล็กพี่เป้า พี่แดงและพี่ตุ๊กที่อยู่บ้านพักใกล้ๆกันที่โรงพยาบาลบ้านตาก แม้จะเหนื่อยจากการเดินทางไปกลับตากแม่สอดมาบ้าง แต่ก็ยังคงสดชื่นพอที่ขับรถไปเองได้ และอาจเป็นผลจากกาแฟสดเย็นอาราบีก้าจากดอยมูเซอร์ก็ได้

          ขณะขับรถไปกำแพงเพชร ลูกๆขอดูการ์ตูนเบนเท็น (Ben ten) ที่ตัวเอกเจ้าหนูได้นาฬิกาวิเศษที่สามารถแปลงร่างได้ถึง 10 รูปร่าง น้องขลุ่ย ลูกชายคนเล็กชอบมาก จนต้องซื้อนาฬิกาเบนเท็นให้ ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมงก็ถึงบ้านงานศพ ฟังพระสวดเสร็จก็นั่งคุยกับเจ้าภาพอยู่พักใหญ่ เด็กๆเล่นกันสนุกเพราะไม่เจอกันนาน

          ขากลับลูกๆเปิดหนังใหญ่เรื่องดรีมทีม ดูมาตลอดทาง ผมก็ได้ฟังเสียงหนังมาด้วยตลอดแต่ไม่ได้ดูเพราะกลัวอันตรายขณะขับรถ ถนนช่วงวังเจ้า-เมืองตาก สายเอเชียแย่มาก ขรุขระเป็นผิวดวงจันทร์เลย พี่เล็กจึงชวนขับกลับสายเก่า ไกลกว่าเล็กน้อย เป็นถนนสองเลนแต่สภาพดีกว่ามาก

           เด็กๆดูหนังกันอย่างสนุกสนาน ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยสนใจนัก แต่พอฟังๆไปก็จับใจความได้ คิดว่าหนังเรื่องนี้ให้สาระแง่คิดมากพอควร ขับรถกลับมาถึงบ้านพัก หนังยังไม่จบ เราทั้ง 5 คนตัดสินใจนั่งดูหนังในรถกันจนจบจึงเข้าบ้าน

           เนื้อหาในหนัง เป็นเรื่องของโคชฟุตบอลหนุ่มโสด ถูกสาวรุ่นน้องที่เป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ชวนให้ช่วยรับหน้าที่เป็นโคชให้กับเด็กนักเรียนอนุบาล อายุ 5 ขวบ โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อมาเป็นโคชก็เจอกับความยุ่งวุ่นวายของทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง จนเขาขอลาออกจากการเป็นโคช แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาทำต่อด้วยความรักและผูกพันที่มีต่อเด็กๆ

           การแข่งขันกีฬาอนุบาลแห่งชาติ เริ่มขึ้น กับการมุ่งเน้นไปที่กีฬาชักกะเย่อที่มีแชมป์เก่าเป็นที่คาดหมายว่าจะได้แชมป์อีกเพราะเด็กตัวโตๆทั้งนั้น กับทีมน้องใหม่อย่างดรีมทีม ม้านอกสายตา แต่ในที่สุดก็เข้ารอบไปเจอกันในรอบชิงจนได้ โดยเจอกันในรอบรองชนะเลิศเพื่อคัดที่ 1 ในสาย ดรีมทีมก็แพ้แชมป์เก่าไปอย่างขาดลอย มีนักกีฬาทีมละ 9 คน รอบชิงเด็กๆทีมดรีมทีมไปอยากลงแข่งเพราะกลัวแพ้ กลัวความผิดหวัง กลัวพ่อแม่เสียใจเพราะพ่อแม่พูดเสมอว่าต้องชนะให้ได้นะลูก

           โคชต้องใช้ความพยายามในการปลุกเร้าและจูงใจให้เด็กลงแข่งขัน โดยบอกว่า กีฬาย่อมมีแพ้มีชนะ ความสำคัญอยู่ที่การได้ลงแข่งขันอย่างเต็มความสามารถมากกว่า แต่เด็กคนหนึ่งเกิดมีปัญหา อุจจาระลดกางเกง จึงเป็นโอกาสให้เด็กชายบัวแก้วที่ตัวเล็กและเป็นหอบหืด ที่นั่งเป็นตัวสำรองจนการแข่งขันนัดสุดท้าย และไม่ยอมกลับบ้านตามคำชวนของพ่อที่ถอดใจเพราะคิดว่าอย่างไรลูกคงไม่ได้ลงแข่งและจะเสียใจมากขึ้น แต่ลูกกลับบอกว่า "รอก่อนดีกว่าพ่อ ถ้าไม่ได้ลงแข่งจริง ปีหน้าขอเรียนซ้ำชั้นอนุบาล 3 อีกก็ได้ เผื่อจะได้ลงแข่ง" และสุดท้ายก็ได้ลงแข่งจริงๆ สอนให้เรารู้ว่า "จงมีความหวัง จงมีความอดทนรอคอยและเตรียมตนเองไว้ให้พร้อมกับโอกาสที่จะมาถึง"

         แม้ดรีมทีมจะตัวเล็กกว่า แต่ใจก็สู้ การแข่งขันเห็นได้เลยว่าเริ่มเพลี่ยงพล้ำ น่าจะแพ้ แต่เด็กๆก็ยังคงสู้ต่ออย่างเต็มที่ เพราะกรรมการยังไม่เป่าแพ้ชนะ ขณะที่แชมป์เก่าคิดว่าตัวเองชนะแล้ว จึงหยุดดึงจริงจัง จนแพ้ไป สิ่งทีเด็กๆดรีมทีมทำตามที่โคชบอกก็คือ "ผู้นำไม่ได้มาจากผู้ชนะ แต่ผู้นำคือคนที่ได้พยายามทำอะไรอย่างเต็มที่ต่างหาก" แพ้ชนะไม่สำคัญ "เมื่อเกมส์ยังไม่ยุติ อย่าหยุดความพยายาม"

        หนังสะท้อนให้เห็นความรักของพ่อคนหนึ่งที่อยากให้ลูกตัวเล็กๆไม่แข็งแรงได้ร่วมแข่งขันกีฬา กับได้สะท้อนถึงมุมมองของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกชนะ แต่ลูกๆกลับรู้สึกว่า ทำไมต้องชนะด้วย ความคาดหวังของพ่อแม่จึงกลายเป็นตัวกดดันลูกปอย่างไม่ตั้งใจ พ่อคนหนึ่งสอนลูกว่า "ถ้าชนะ จะได้เป็นผู้นำ" แต่ลูกกลับบอกว่า ถ้างั้นไม่อยากเป็นผู้นำดีกว่า ไม่ชนะก็ได้

       ได้เห็นความคิดน่ารักแบบเด็กๆ เด็กชายคนหนึ่งป่วยเป็นสุกใส แม่ที่เป็นหมอบอกว่าเป็นสุกใส ลูกก็เชื่อ พอไปที่โรงเรียนเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า เป็นเอดส์ เด็กก็ซึมไป พอถูกเพื่อนอีกคนหนึ่งถามว่าเป็นอะไรก็ตอบไปซื่อๆว่า "เมื่อเช้าเป็นสุกใส ตอนนี้เป็นเอดส์" พออีกไม่กี่วันหลังจากนั้นเด็กผู้หญิงคนที่บอกว่าเป็นเอดส์ เป็นสุกใสซะเอง จึงถูกเพื่อนคนอื่นๆเข้าใจว่าเป็นเอดส์ แต่เด็กชายคนเดิมเดินไปพูดปลอบใจว่า "ไม่ต้องกลัวหรอกเป็นเอดส์ไม่กี่วันก็หาย ดูเราสิหายแล้ว" ทำให้เพื่อนผู้หญิงคนนั้นหายซึมและก็สนุกสนานไปได้

         ตอนรับเหรียญรางวัลชนะเลิศ มีเหรียญแค่ 9 เหรียญตามจำนวนตัวจริง ไม่มีให้ตัวสำรอง บัวแก้วจึงหน้าเสียเพราะตนเองก็ลงแข่งแต่ไม่ได้เหรียญ เพื่อนที่อยู่ข้างๆก็ถอดเหรีญญมาคล้องคอให้พร้อมกับรอยยิ้มและมิตรภาพที่น่ารักของเด็กๆ กับความสุขของโคชที่มารับหน้าที่โดยไม่มีค่าตอบแทนทางตัวเงิน แต่เขาได้รับความสุขไปมากมายจากความน่ารักของเด็กๆ "จงเก็บเกี่ยวความสุขในชีวิตจากความสำเร็จเล็กๆน้อยๆ"

         ผมจึงได้ใช้โอกาสของการดูหนังเรื่องนี้แก่ลูกๆไปด้วย ให้เขาทำอะไรอย่างเต็มที่ แพ้ชนะไม่สำคัญ และให้คิดไปถึงคำพูดของพระที่มาสวดพระอภิธรรมศพเมื่อสักครู่ที่ลงท้ายไว้ว่า "นิ้วมือต่างกันจึงดี สามัคคีต่างกันจึงงาม" นิ้วแต่ละนิ้วสั้นยาว เล็กใหญ่ ใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน ไม่มีนิ้วใดสำคัญกว่ากันเพราะถ้าขาดหายไปสักนิ้วหนึ่งก็ทำให้มือใช้งานไม่ดี ส่วนความสามัคคีนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนในทีมต้องเหมือนกัน คิดอย่างเดียวกัน ทำอย่างเดียวกัน แต่ต้องมีความแตกต่าง แล้วนำความแตกต่างเหล่านั้นมาใช้ร่วมกันได้อย่างเหมะสมลงตัว

          

หมายเลขบันทึก: 313571เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 00:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน 2012 14:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท