วันนี้มีโอกาสได้เข้าฟังการอบรมเรื่อง "การวิจัยเชิงคุณภาพ" ครับ ซึ่งบรรยายโดยท่านอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลครับ เป็นการเปิดโลกทัศน์และได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมายสำหรับการทำวิจัยเชิงคุณภาพครับ ซึ่งสำหรับผมแล้วเป็นเรื่องใหม่เพราะโดยส่วนตัวแล้วคุ้นเคยกับงานวิจัยเชิงปริมาณมากกว่าครับ...
และกับคำถามหนึ่งที่ผู้เข้าอบรมได้ซักถามท่านวิทยากรซึ่งคำถามประมาณนี้นะครับว่า เคยอ่านตำรามาว่าในการทำวิจัยในหลายขั้นตอนไม่ควรใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้วิจัย แล้วจะมีแนวทางในการปฏิบัติอย่างไรบ้าง ซึ่งท่านวิทยากรก็ตอบไว้อย่างน่าสนใจเลยครับว่า หากเป็น "ประสบการณ์" แค่ครั้งหรือสองครั้งก็อาจมีปัญหา แต่ถ้าเป็น"ประสบการณ์ตกผลึก" แล้วย่อมสามารถนำมาใช้ได้...
ผมฟังแล้วก็ได้คิดเลยครับว่า หากเป็นประสบการณ์ที่ตกผลึกแล้วนั่นย่อมหมายถึงได้ผ่านการฝึกปฏิบัติมาแล้วหลายครั้งจนตัวผู้วิจัยเองก็มีความลึกซึ้งกับเรื่องนั้น ๆ นะครับ และเมื่อท่านวิทยากรอีกท่านได้ตอบเสริมประเด็นนี้ว่าหลีกเลี่ยงที่จะใช้ประสบการณ์ส่วนตัว แต่มาใช้ "ทักษะ" ของผู้วิจัยยิ่งทำให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ เพราะเมื่อเรามีประสบการณ์ที่ตกผลึกมากขึ้นย่อมเกิดเป็นเป็นทักษะสำหรับตัวเรานะครับ...
ยิ่งกับงานวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งมีตัวผู้วิจัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสะท้อนผลการวิจัยด้วยแล้ว ประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่สำคัญมากนะครับ นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ ประเด็นที่ท่านวิทยากรได้ฝากไว้สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ที่จะนำเสนอผลงานวิจัย โดยเฉพาะงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ครับ ซึ่งมีประเด็นหนึ่งที่สำคัญคืองานวิจัยต้องทำไปให้ถึงระดับการวิเคราะห์ (Analytic) เพราะไม่เช่นนั้นแล้วงานวิจัยก็จะมีลักษณะเป็น Descriptive ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากนัก...
และในส่วนของการอธิบายผลการวิจัยท่านวิทยากรก็แนะนำให้ผู้วิจัยอธิบายให้ได้ในสามระดับคือ ระดับที่หนึ่งใช้ข้อมูลที่มีอยู่เป็นตัวอธิบาย ระดับที่สองใช้ทักษะของผู้วิจัยเป็นตัวอธิบาย และระดับที่สามใช้ทฤษฎีที่ผู้อื่นสร้างไว้เป็นตัวอธิบาย ซึ่งสิ่งที่มักจะขาดหายไปคือ การอธิบายในระดับที่สองคือการใช้ทักษะของผู้วิจัย ซึ่งเป็นระดับที่สำคัญเพราะนั่นจะเป็นแสดงตัวตนที่แท้จริงของงานวิจัยและตัวผู้วิจัยครับ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องฉายออกมาให้เห็น และสุดท้ายที่ท่านวิทยากรฝากไว้ก็คือสำหรับงานวิจัยที่เป็นวิทยานิพนธ์ ผู้วิจัยอย่าแค่ทำวิจัยเพียงเพื่อให้ได้ปริญญามาแต่เมื่อทำแล้วต้องให้ได้อะไรมากกว่านั้นนะครับ...
ดีจัง..ได้ความรู้สำหรับการนำไปใช้ต่อไปของตัวเองด้วยค่ะ..ไม่ค่อยถนัดเหมือนกันกับเชิงคุณภาพเพราะส่วนใหญ่มักจะทำแบบเชิงปริมาณ.จริงๆด้วย.
..จะได้นำไปพัฒนาตนเองค่ะ..ขอบคุณนะคะคุณดิเรก..^^
อัลฮัมดุลิลละฮฺ...ได้ความรู้มากครับ มองเห็นภาพชัดเลยกับการเขียนรายงานการวิจัยเชิงคุณภาพ (โดยเฉพาะบทที่ ๕) ขอบคุณมากครับบัง
สวัสดีค่ะ
ได้เคล็ดความรู้การวิจัยเพิ่มขึ้น
อยากลองดูบ้างจังเลย วิจัยเชิงคุณภาพ
ขอปรึกษาบ้างนะคะ
ได้ความรู้มากค่ะ
"ประสบการณ์ที่ตกผลึก"...หากในทัศนะของการสร้างความรู้ กะปุ๋มก็มองว่า นี่น่ะ คือ Tacit Knowledge ที่ปรากฏขึ้นแห่งกระบวนการภายในของนักวิจัย... แต่ที่ว่า พยายามหลีกเลี่ยงประสบการณ์ของนักวิจัยนั้น นั่นน่ะอาจเป็นเพราะว่า บางครานักวิจัยอาจไปใช้การจดจำ การปรุงแต่งทางความคิด มากกว่าที่จะดึงเอา "ความรู้ที่ปรากฏอันลึกซึ้งผ่านประสบการณ์ที่แท้มาบอกมากล่าวกัน"...
ทำให้กะปุ๋มนึกถึงว่า...
"ความรู้"...ที่หลายๆ คนกำลังพูดถึงนั้น
เราลืมพูดถึง ความรู้ที่เราซึ้งลงไปในใจจริงๆ อันเป็นความรู้อันลุ่มลึก ซึ้งลงไปในใจบุคคล ดั่งเช่น กะปุ๋มได้รับการรับฟังจากน้องตาลว่า เป็นผู้ที่มีทักษะการทำอาหารที่รสชาติได้อร่อยมาก... ทั้งๆ ที่อาหารบางอย่างเธอเพียงแค่ได้ชิมหรือได้ทานครั้งหรือสองครั้ง หรือบางคราเป็นการทำอาหารเพียงแค่เห็นภาพและนำมาทดลองทำ และเมื่อเธอได้ลงมือทำแล้ว... คนใกล้ชิดบอกว่า อร่อย คล้ายถิ่นเจ้าตำหรับทำเลย"... ซึ่งเมื่อน้องตาลมาพูดคุยเรื่องการทำอาหาร เธอก็จะนำจากประสบการณ์ที่เธอได้ทำมาเล่าได้อย่างซึ้งใจ...
ขณะที่เธอเล่าถึงเรื่องนี้ ช่างเป็นเรื่องเล่าที่ส่งมาจากใจของเธอ มากกว่าการจดจำหรือความนึกคิด... หากแต่มันออกมาจากภาพแห่งประสบการณ์ที่ฝังและตกผลึกอยู่ในอณูแห่งความรู้ในเรื่องนี้ของเธอ ...
นี่น่ะ น่าจะเรียกได้ว่า "เป็นประสบกาณ์ที่ตกผลึก"...
ความตกผลึกนี้ จะฝังลงไปในรากเหง้าแห่งจิตวิญญาณของเธอ ...
ความเป็นนักวิจัยเชิงคุณภาพในทัศนะของกะปุ๋มเอง ก็ไม่ได้มองว่า พวกเขาเหล่านี้เป็นนักวิชาการนะ หากแต่เขาเป็น "นักชีวิต" ที่เข้าใจในเหตุแห่งความเป็นไปของความที่ปรากฏอยู่รอบด้าน รอบตัวและผ่านเข้ามาในผัสสะของเขา... ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะช่วยเชื่อมโยงผัสสะที่กระทบแล้วเกิดการประมวลผล แบบงวดเข้า...งวดเข้าเรื่อยๆ... จนกลายเป็นตกผลึกในเรื่องนั้นๆ...
ทุกวันนี้นักวิจัยเฉกเช่นนี้...หายากนะ...
เพราะว่า...อะไรล่ะ ?
เพราะว่า ทุกวันนี้เรามีนักวิจัยที่เป็นนักวิชาการเยอะ แต่หานักวิจัยที่เป็นนักปฏิบัติไปในตัวนี่หายาก การเป็นนักวิจัยที่ดีนั้น ต้องเป็นผู้ปฏิบัติวิจัยในตนเองอยู่เนืองๆ...หากไม่ปฏิบัติวิจัยในตัวในตนแล้ว ก็อยากที่จะเกิดเป็นประสบการณ์ตกผลึก...
ครับ... คุณครูแอ๊ว
ดีใจครับที่อ่านแล้วได้ประโยชน์และนำไปปรับใช้ได้...
ขอบคุณเช่นกันนะครับผม...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ... เด๊ะ เสียงเล็กๆ فؤاد
เป็นกำลังใจให้สำหรับ thesis ที่กำลังทำและงานวิจัยชิ้นต่อ ๆ ไปนะครับ...
ขอบคุณครับผม...
ครับ... คุณ เจษฎา
ยินดีสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันนะครับ...
งานวิจัยเชิงคุณภาพสำหรับผมแล้วเพิ่งเริ่มนับหนึ่งครับผม...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ... คุณ ศรีวิรัตน์
ขอบคุณมากครับ...
เดี๋ยว...สักครู่จะเดินทางกลับบ้านที่ยโสธรค่ะ
ตอนบ่ายมี "สุนทรียโสเหร่" กันค่ะ แต่ตอนนี้แวะต่อ ที่นี่ก่อน
ดูๆ ความเห็นแต่ละท่าน ...จะเห็นว่าเราไม่คุ้นชินกับการทำวิจัยเชิงคุณภาพ ... เรามาลองพิจารณาดูก่อนไหมค่ะว่า เราจะเริ่มต้นอย่างไรดี...
ก่อนอื่น...เราอย่าไปเริ่มว่าเราจะทำวิจัย...
แต่เรามาทำความรู้ตัวก่อนว่า "มีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อเราบ้าง"
ปรากฏการณ์ คือ อะไรล่ะ...?
ในทัศนะของกะปุ๋มก็ตีความได้ว่า "ปรากฏ + การณ์" ก็คือ เหตุที่ได้เกิดขึ้น และเรานั้นเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ต่อเหตุที่เกิดขึ้นนั้น จากนั้นเราก็น้อมใจเราลงมาเรียนรู้ต่อเหตุที่เกิดขึ้นนั้นซะ ทำความรู้ ทำความเข้าใจ ... ใจเรานั้นรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร ต่อเหตุที่เกิดขึ้นนั้น แล้วเรามีการกระทำอะไรที่สนองตอบต่อเหตุเกิดนั้นบ้าง...
ง่ายๆ...ทำความรู้เช่นนี้ไปเรื่อยๆ...
แล้วเราจะเริ่มเกิดเป็นความเข้าใจ จากนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนไปสู่ความเข้าใจนอกตัวเรา
อันเป็นการเคลื่อนไปอย่างอัตโนมัติ...
ชีวิต...แต่ละห้วงเวลา ก็ไม่มีอะไรวุ่นวายมากนัก... มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ การทำความเข้าใจห้วงเหตุที่มีสัมผัสสัมพันธ์กับเราทั้งเรา เมื่อสัมผัสสัมพันธ์แล้วเราก็ใช้ใจเรานี่แหละทำ "ความใคร่ครวญ" สิว่า บ่วงเหตุนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไร และมาสัมพันธ์อะไรกับเรา แล้วตัวเราล่ะมีการตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร ทั้งในขอบข่ายแห่งความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และการกระทำ...
เมื่อเราฝึกฝนไปเช่นนี้...
เราจะสนุนกับการที่ได้พิจารณา...ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเราได้ร่วมเข้าคลุกอยู่ในปรากฏการณ์นั้น และที่สำคัญการเข้าไปคลุกอยู่นั้น...เราต้องนำพาเราด้วย "ลมหายใจ...อันเป็นลมหายใจเข้าและออกอย่างรู้ตัว"....
หายใจเข้าสบาย และหายใจออกสบาย
การหายใจเช่นนี้จะทำให้เรา...คลุกอยู่ในปรากฏการณ์นั้นๆ อย่างไม่กดดันหรือไม่เคลิบเคลิ้ม...ใจเราจะเบาเบา นิ่งๆ เรียนรู้ปรากฏการณ์นั้นอย่างเบิกบาน
ครับ... คุณ Ka-Poom
ขอบคุณนะครับที่มาขยายความพร้อมเพิ่มเติมประเด็นที่สำคัญ ๆ นะครับ...
ผมก็มองอย่างนี้เหมือนกันครับที่สุดแล้วงานวิจัยก็คืองานวิจัยนะครับ ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นงานวิจัยแบบไหน แต่สำคัญว่ามันสามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้มั้ย และมันสามารถตอบโจทย์สำหรับงานวิจัยชิ้นนั้นได้มั้ยนะครับ...
สำหรับการอบรมเมื่อวานวิทยากรสรุปปิดท้ายอีกอย่างที่น่าสนใจคือ ทำงานวิจัยให้เป็นเหมือนกระบี่ไร้เทียมทาน ไม่ต้องมีกระบวนท่า ไม่ต้องมีสำนัก แต่สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์รอบตัวได้นะครับ...
ขอบคุณมากครับผม...
สวัสดีค่ะ
ดีจังค่ะ กำลังจะทำวิจัยกับเด็กๆในโรงเรียน
รับความรู้จากคุณดิเรก แถมด้วยของคุณกระปุ๋ม
ขอบคุณค่ะ
ครับ... พี่นก NU 11
ดีใจครับที่อ่านแล้วได้ประโยชน์...
เป็นกำลังใจสำหรับการทำวิจัยเพื่อเด็ก ๆ นะครับ...
ขอบคุณเช่นกันครับผม...
ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลความรู้ที่ให้มาเพื่อรอการตกผลึก เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆค่ะ
ข้อมูลวิจัย เปรียบได้ สิ่งที่มองเห็นด้วยตา พร้อมให้สมองตัดสินใจ
ครับ... น้อง lukpla
ขอบคุณเช่นกันครับผม...
ครับ... คุณ ตาหยู
ข้อมูลวิจัย เปรียบได้ สิ่งที่มองเห็นด้วย "ตา" พร้อมให้ "สมอง" ตัดสินใจ
ขอแถม "ใจ" เพิ่มไปอีกอย่างในการมองและการตัดสินนะครับผม...
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีค่ะ Vij มาอวยพรปีใหม่ 2553 ค่ะ
ครับ... คุณ ครูใจดี
ขอบคุณสำหรับพรดี ๆ จากคุณครูใจดีและลูก ๆ นะครับ...
ขอพรดี ๆ เหล่านี้ประสบแก่คุณครูใจดีและลูก ๆ เช่นกันนะครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันนะคะ
ขอบคุณเช่นกันครับผม...