ผมถามผู้ที่ติดตามอ่านบันทึกนี้สักนิดเถอะ...หากเจ้าหน้าที่ที่ดินที่ตั้งแท่นเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเซ็นชื่อลงนามออกโฉนด(แต่ผู้ว่าฯไม่เซ็น)มาเป็นพยานฝ่ายโจทก์อะไรจะเกิดขึ้น...เหนื่อยไหมกับการที่ต้องตรวจสำนวนอย่างละเอียดยิบเพราะมีการเตี๊ยมเอกสารไว้ในแฟ้มครบถ้วนแล้ว ง่ายไหมกับการแก้ไขปัญหาต่างๆในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ทั้งฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานที่ดินทำไว้ให้ผู้ขอออกโฉนด แปลกไหมที่เจ้าพนักงานที่ดินย้ายมาอยู่ที่ภูเก็ตไม่กี่เดือนเตรียมเรื่องออกโฉนดตั้งแท่นเสร็จแล้วพร้อมที่ท่านผู้ว่าฯเซ็นชื่อได้แล้วก็ย้ายไป เสียดายที่ผมไม่มีเวลาค้นเอกสาร ไม่งั้นผมจะค้นว่านอกจากทำเรื่องออกโฉนดแปลงนี้แล้ว ที่มาอยู่ภูเก็ตไม่กี่เดือนเนี่ยได้ทำเรื่องออกโฉนดไปกี่แปลงหรือเฉพาะแปลงนี้แปลงเดียว ฮ่าๆ
เรื่องนี้ฝ่ายโจทก์อ้างว่า ในเขตจังหวัดภูเก็ต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีประกาศกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ.๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๑๕ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าในพื้นที่เกาะ หากไม่มีเอกสารแสดงการครอบครองหรือแสดงกรรมสิทธิ์อื่นใด เช่น ส.ค.๑ ไม่ให้ออกโฉนดหรือน.ส.๓ แต่ก่อนประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่ยอมออกหลักฐานแสดงสิทธิ เช่น โฉนดหรือ น.ส.๓ ให้ชาวบ้าน ทั้งๆที่บางแปลงรังวัดเรียบร้อย ขึ้นรูปในเอกสารสิทธิเรียบร้อย รอผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้มีอำนาจลงนามในเอกสารสิทธิ แต่เขาก็ไม่เซ็นกันกลัวจะเกิดปัญหาในภายหลังบ้าง รอทุบเอาบ้าง จ่ายก็ออกให้ ไม่จ่ายก็ไม่ออก(ชาวบ้านเขาว่าอย่างนั้น และชาวบ้านก็มีสิทธิสงสัยเพราะทำโฉนดพร้อมกันรายหนึ่งเป็นนายทุนได้รับโฉนด แต่อีกรายหนึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดากลับไม่เสร็จ) ผมไปบรรยายกฎหมายชาวบ้านก็ถามเรื่องนี้ ผมบอกว่าเรื่องนี้เป็นคำสั่งทางปกครองให้ยื่นฟ้องที่ศาลปกครองและผมเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทำไม่ถูก ในที่สุดศาลปกครองสูงสุดก็พิพากษาให้ราชการออกหลักฐานแสดงสิทธิให้ในกรณีที่พร้อมที่จะลงนามแล้ว
การขอออกโฉนดที่ดินในคดีนี้ขอออกมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ จนกระทั่งถึงปี ๒๕๓๖ ผู้ว่าฯยุวัฒน์ วุฒิเมธี ท่านตั้งข้อสังเกตหลายครั้งหลายหนหลายข้อเพราะท่านไม่เชื่อว่ามีการครอบครองมาก่อน ๒๔๙๗ ตามที่อ้างกัน จริงเท็จไม่ทราบได้มีข่าวออกมาว่ามีการส่งมือดีมาออกโฉนดแปลงนี้ มีการเตรียมเรื่องราวความเป็นมา เตรียมเอกสาร แก้ข้อโต้แย้งประเด็นต่างๆที่ผู้ว่าฯ ตั้งข้อสังเกต แต่ผู้ว่าก็ไม่ยอมเซ็น อิอิ
ผมยกมาให้ดูสักข้อ ผู้ว่าฯ ท่านตั้งข้อสังเกตว่า “บริเวณที่ขอออกโฉนดมีการร้องเรียนคัดค้านตลอดมาจากผู้ปกครองท้องที่และราษฎร แม้การคัดค้านจะยุติไปไม่ว่ากรณีใดๆก็เป็นกรณีที่ทำให้สงสัยว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีการครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันจริงหรือไม่ ประกอบกับมีการอนุญาตประทานบัตรบริเวณนี้ด้วย” และในตอนท้ายท่านสรุปว่า “ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการครอบครองต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๓ มาจนถึงปัจจุบัน เพราะที่ดินบริเวณดังกล่าวมีประทานบัตรของบริษัทดังกล่าวประกอบกับเหตุผลของผู้ขอออกโฉนดโดยไม่แจ้งการครอบครอง (ส.ค.๑)มาก่อน ไม่มีเหตุอันควรรับฟังได้เพราะทางราชการได้ประกาศเดินสำรวจถึงบริเวณดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ แล้ว จึงเห็นว่าผู้ขอออกโฉนดรายนี้ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบให้ชัดเจนตามกฎหมายต่อไป เพื่อมิให้เกิดปัญหากับเจ้าหน้าที่และผู้ขอออกเอกสารสิทธิในภายหลัง”
จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ต่อมาปี ๒๕๔๖ อำเภอถลางก็ได้ประกาศเรื่องที่ดินที่จะสงวนหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ และให้โอกาสราษฎรคัดค้านได้ภายใน ๖๐ วัน คราวนี้บรรดาผู้ที่เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวก็ยื่นคำคัดค้านกันอุตลุต ๙ รายครับไม่มีหลักฐาน ๘ ราย มีโฉนด ๑ รายแต่อยู่ระหว่างเพิกถอน (เสียดายมากๆครับที่ผมไม่ได้เข้าดำเนินคดีที่มีโฉนดรายนี้เพราะอยู่บริเวณเดียวกัน ซึ่งเขาว่าความจบกันไปแล้ว) แต่ที่งงมากก็คือ รองอธิบดีกรมที่ดินรักษาการออกคำสั่งให้เพิกถอนโฉนด และศาลพิพากษาให้ราชการชนะคดี แต่อยู่ๆรองอธิบดีกรมที่ดินคนเดิมออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งที่ให้เพิกถอนโฉนด อ้าว....เท่ากับว่าออกโฉนดชอบงั้นหรือ...แล้วศาลอุทธรณ์จะว่าไงละเนี่ย...เสียดายถ้ามารวมกับคดีที่ผมว่า ๖ คดีรับรองมันหยดติ๋งแน่..อิอิ
ปี ๒๕๔๗ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดมศักดิ์ อัศวรางกูร ได้ให้ความเห็นชอบในการสงวนหวงห้ามที่ดิน ๑๗๘ ไร่ ให้ถือว่าประกาศสงวนหวงห้ามที่นายอำเภอถลาง(ขันตี ศิลปะ)ได้ดำเนินการโดยชอบแล้ว เป็นการสงวนหวงห้ามที่ดินดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป และแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบเพื่อใช้สิทธิทางศาล
พอปี ๒๕๔๘ ผู้ที่เคยขอออกโฉนดเมื่อปี ๒๕๓๐ ก็ยื่นหนังสือถึงหัวหน้าเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดขอให้ออกโฉนดที่ดิน โดยอ้างคำพิพากษาของศาลปกครอง เพราะเขาถือว่ากรณีที่ขึ้นรูปโฉนดแล้ว ลงระวางแล้ว เหลือเพียงเซ็นชื่อจึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะออกโฉนดให้เขาได้ แต่ไม่มีใครยอมออกโฉนดให้เพราะถือว่าเป็นการเข้าครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และแม้กรมที่ดินจะให้นำคำพิพากษาของศาลปกครองมาเป็นแนวทางในการดำเนินการออกโฉนดก็ตาม จึงให้รอศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดจึงเป็นเหตุให้มีการฟ้องร้องคดีที่ผมกำลังเล่าให้ฟังนี่แหละครับ
การสืบพยานในคดีนี้ส่วนใหญ่ใช้เวลาปากละสองนัด ถามกันจนพยานของแต่ละฝ่ายมึนกันไปหมด ผมคงขอละในเรื่องรายละเอียดไว้ เอาเป็นว่าผมจับพิรุธในเอกสารได้หลายจุด เช่นลายมือชื่อของพยานและการมอบอำนาจซึ่งในเอกสารแต่ละฉบับเขียนไม่เหมือนกัน มองด้วยตาเปล่าแม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลายมือชื่อก็รู้ว่าไม่ใช่ลายมือของคนๆเดียว จึงทำให้น้ำหนักในการรับฟังพังพินาศ อิอิ และแล้วเมื่อการสืบพยานจบลง ต่างก็แถลงขอยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี ว่าไปแล้วการยื่นคำแถลงปิดคดีหากศาลได้อ่านดูก็จะเป็นแนวทางในการพิพากษาได้ ผมเห็นว่าคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นศิลปะในการจูงใจให้ศาลเห็นเหตุผลคล้อยตามเรา คล้ายกับทนายอังกฤษหรืออเมริกันยืนแถลงในศาล แต่ของเราแทบจะไม่มีการแถลงการณ์แบบนี้เลย นิยมให้ยื่นคำแถลง ซึ่งศาลอาจจะอ่านหรือไม่อ่านเลยเพราะกลัวถูกจูงใจหรือเพราะอะไรไม่อาจคาดเดาได้เพราะผมไม่ใช่ผู้พิพากษา อิอิ ที่เดาว่าศาลไม่ค่อยอ่านเพราะเวลาเขียนคำพิพากษามักจะออกมาไม่เหมือนกับที่คู่ความเขียนคำแถลงการณ์นะสิ ฮ่าๆ ถ้าอยากรู้ว่าผมแถลงการณ์ปิดคดีอย่างไร ก็ต้องอ่านตอนหน้าแล้วละ...มันยาววววแล้ว อิอิ
ทำไมยากจัง เรียนเลขง่ายกว่าเยอะเลย
สวัสดีครับคุณศิริวรรณ
กฎหมายกับคณิตศาสตร์(เรขาคณิต)ก็เหมือนกัน เราต้องใช้ทฤษฎี(ข้อกฎหมาย)มาพิสูจน์ข้อเท็จจริง สมัยเป็นเด็กรียนก่อนอายุ อายุสมองก็เลยคิดไม่ทันมั๊ง...เลยรู้สึกว่าคณิตศาสตร์ยาก อิอิ
สวัสดีครับสิงห์ป่าสัก
ทั้งสามเล่มก็จะมีส่วนที่เหมือนกับไม่เหมือนเพราะพิมพ์กันคนละครั้งคนละแห่งครับ
ขอให้มีความสุขกับการเรียนรู้นะครับ
ขอคารวะขอรับท่านอัยการ
แอบเข้ามาเสาะหาความรู้ขอรับ...อิอิ...
ต้องร้องว่า "โอ้! โฮ! คุณภาพชั้นเซียน"
เรียนเชิญ เยี่ยมชม บล็อคมือใหม่หัดขับ ครับป๋ม
สวัสดีครับลุงรุน
ขอบคุณที่เข้ามาทักทาย
ผมไปแวะบันทึกของลุงรุนแล้วนะครับ เยี่ยมมาก ขอเป็นลูกศิษย์ด้วยคนครับ อิอิ
ขออนุญาตเรียนปรึกษาออกอากาศเลยนะครับ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ดิน ๗๐๐๐ ล้าน แต่เป็นที่ดินผืนน้อยของผม ที่ผมเก็บตังค์ซื้อไว้สมัยยังเป็นหมอเด็กๆ
ปนึกษาออกอากาศ ก็ขอตอบกลางอากาศเลยนะครับ ฮ่าๆ
เรื่องนี้ไม่ยากครับ ทำง่ายๆก็ได้จะทำให้ชาวบ้านเขาไม่รู้สึกเป็นกังวล เป็นบันทึกแบบนี้ครับ
ทำที่....
วันที่......
ข้าพเจ้านาย/นาง........อายุ ....ปี อยู่บ้านเลขที่.......ขอทำบันทึกนี้เพื่อแสดงว่า ข้าพเจ้าและบุคคลครอบครัวได้รับความอนุเคราะห์จากนายแพทย์เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่.........ที่ดินตั้งอยู่ที่.........ให้ข้าพเจ้าและครอบครัวได้อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวโดยมีค่าตอบแทนราคาถูกเดือนละ.../ไม่มีค่าตอบแทน เมื่อนายแพทยเต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี ต้องการที่ดินคืนเมื่อใดข้าพเจ้าและครอบครัวยินดีจะส่งมอบที่ดินคืนให้โดยพลัน และไม่เรียกร้องค่าใดๆทั้งสิ้น และหากข้าพเจ้ายังไม่รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้าง
ภายในกำหนดเวลาที่นายแพทย์เต็มศักดิ์...แจ้งให้ทราบ .ข้าพเจ้าและบุคคลในครอบครัวยอมให้นายแพทย์เต็มศักดิ์....ดำเนินการรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างได้ตามความประสงค์
ลงชื่อ............ผู้อยู่อาศัย
ลงชื่อ............พยาน(ถ้าให้ดีก็ให้ลูกเมีย/ผัวลงชื่อให้หมด)
แค่นี้ก็โอเคแล้วครับ
ขอบพระคุณครับ จะไปดำเนินการครับ
เป็นข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่พึ่งทราบข้อมูลเชิงลึกและมีประโยชน์มากจากท่านอัยการครับ