สองปีก่อน ทางโรงพยาบาลได้ริเริ่มทำโครงการเกี่ยวกับผู้พิการในจังหวัดพังงา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ ข้าพเจ้าและทีมงานได้ลงสำรวจพื้นที่ เพื่อค้นหาจำนวนผู้พิการ วันนั้นคนในพื้นที่แจ้งเข้ามาว่ามีเด็กอยู่คนหนึ่ง ขาอ่อนแรง อยู่ในหมู่บ้าน ไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะเดินไม่ไหว ข้าพเจ้าและทีมงานได้เข้าไปเยี่ยมสำรวจ ภาพที่เห็นคือ เด็กผู้ชายอายุประมาณ 8-9 ปี นั่งเล่นอยู่ที่ลานดินหน้าบ้าน โดยมีของเล่นวางอยู่รอบๆตัว จากการซักถามมารดาเด็ก ทราบว่า เด็กเริ่มมีอาการขาอ่อนแรงมาประมาณเกือบ 2 ปี อาการเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจนเดินไม่ได้ ซึ่งจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย ทำให้ทราบว่า เด็กคนนี้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดที่เรียกว่า Duchene muscular dystrophy ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ไม่มีทางรักษาให้หาย เด็กจะเริ่มด้วยขาอ่อนแรงประมาณ 7-8 ปี แล้วจะอ่อนแรงสูงขึ้นเรื่อยๆจากขาไปแขน และจะเสียชีวิตเมื่ออายุประมาณ 18 ปี เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว จากการที่พวกเราได้เข้าไปเยี่ยมเด็กคนนี้ ทำให้ทราบว่า เขามีพี่สาวอีกหนึ่งคน แต่พี่สาวไม่เป็นโรคนี้ เพราะโรคนี้เป็นเฉพาะเด็กผู้ชาย และครอบครัวของเด็กคนนี้เป็นครอบครัวไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในหมู่คนไทยมุสลิม แต่ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องของศาสนาใดๆ เพื่อนบ้านอยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บรรดาของเล่นที่วางอยู่รอบๆตัวเด็กนั้นก็มาจากเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้านที่ช่วยกันนำมาวางไว้ใกล้ๆให้เด็กคนนี้ได้หยิบมาเล่น
ทางทีมของข้าพเจ้าได้เข้าเยี่ยมครอบครัวนี้อีกครั้งในเดือนต่อมา ครั้งนี้เราพบว่า เด็กคนนี้มีสีหน้าเศร้าซึม ไม่ร่าเริงสดใสเหมือนแต่ก่อน พวกเราได้ถามว่า “น้องโอ๋เป็นอะไรไป” น้องโอ๋ตอบกลับมาว่า “หมอ ผมไม่ไหวแล้วครับ” “ผมไม่มีกำลัง ผมอยากไปโรงเรียนและอยากไปเล่นกับเพื่อนๆ” คำตอบของน้องโอ๋ทำให้พวกเราถึงกับน้ำตาซึม เราสังเกตเห็นแม่ของน้องโอ๋แอบร้องไห้
หนึ่งปีต่อมา ศูนย์ฟื้นฟูผู้พิการตะกั่วป่า ได้สร้างขึ้นและเราได้รับน้องโอ๋เข้ามาฟื้นฟูที่ศูนย์แห่งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ การฟื้นฟูทางด้านจิตใจ เพราะในเรื่องโรคของเขาเราไม่มีวิธีที่จะช่วยเหลือเขาได้
ปัจจุบันน้องโอ๋กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้น จนยกแขนลำบาก ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง แต่สุขภาพทางด้านจิตใจของน้องโอ๋ดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นคนสนุกสนานร่าเริง มีเพื่อนเล่นที่ศูนย์ฯหลายคน ทางศูนย์ฯได้พยายามจัดกิจกรรมให้เขาได้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้เขาร่าเริงและมีความสุข ทางด้านแม่ของน้องโอ๋ก็เข้มแข็งมากขึ้น เราสังเกตเห็นว่า แม่ของน้องโอ๋จะน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลาที่มองลูกของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยร้องไห้ให้ลูกเห็นเลย มีแต่ยิ้มหัวเราะกับลูกตลอด พวกเรารู้ดีว่า ชีวิตของน้องโอ๋สั้นลงทุกวันๆ เวลาแห่งความสุขของเขาคงเหลืออยู่อีกไม่นาน พวกเราจึงพยายามทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของน้องโอ๋ เป็นชีวิตที่มีคุณค่า มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
นายแพทย์มานัส รัตนโชคธรณี
โรงพยาบาลซานคามิลโล
สุขระคนเศร้า
ขอบคุณเรื่องราวดีๆมากค่ะ