การเสริมประสิทธิภาพการออกฤทธิ์(5)
โดยทั่วไปแล้วในปัจจุบันเกษตรกรที่ปลูกพืชยังไม่เน้นเรื่องสารเสริมประสิทธิภาพ หรือ สารจับใบเท่าใดนัก ส่วนใหญ่จะมองว่าสิ้นเปลืองทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วมันคือการลดต้นทุนในการปลูกพืชอย่างมหาศาลทีเดียว ที่พอรู้กันบ้าง ใช้บ้างก็มี แต่ยังไม่แพร่หลายและถูกต้องนัก
หน้าที่ของสารเสริมประสิทธิภาพคือเป็นตัวกระตุ้นให้สารออกฤทธิ์ที่ใช้ให้มีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการนำสารออกฤทธิ์, ปุ๋ยทางใบ หรือฮอร์โมนทางใบ ให้แผ่กระจายและจับแน่นบนผิวใบป้องกันการชะล้างจากน้ำค้างหรือน้ำฝน เพื่อให้สารหรือปุ๋ยนั้นคงอยู่หรือออกฤทธิ์กับใบพืชนานที่สุด และสามารถทำให้สารออกฤทธิ์กระจายตัวโดยไม่แขวนลอยบนผิวน้ำในถังที่ใช้พ่น
สารที่ใช้ในการจับใบมีทั้งสารที่มีปฏิกิริยาทางเคมี หรือ ปิโตรเลี่ยมออยล์ (น้ำมัน) และสาร ที่สกัดได้จากวัตถุดิบธรรมชาติที่ทำปฏิกิริยา (จับใบ) ด้วยประจุไฟฟ้าบวกและลบ (Cation-Anion) เช่น โพลิเมอร์ที่สกัดมาจากไคตินเข้มข้น ปัจจุบันทั่วโลกเริ่มมีการนำเอาประจุไฟฟ้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์เช่นการนำประจุลบ (Anions) เป็นตัวจับโปรตีนในผ้าอนามัยสตรีจนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ โดยเฉพาะผิวส่วนที่ละเอียดอ่อนของร่างกาย เป็นต้น
การใช้สารดังกล่าวต้องอยู่บนเงื่อนไขคำแนะนำในแต่ละชนิดของสินค้า การใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรใช้อย่างระมัดระวัง เช่น ถ้าเป็นสารจับใบที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี ควรใช้กับ สารออกฤทธิ์ที่เป็นเคมี แต่การใช้กับสิ่งมีชีวิต (เชื้อรา) ควรใช้สารที่สกัดได้จากธรรมชาติ เช่น โพลิเมอร์ จับใบเพราะไม่เป็นอันตรายกับเชื้อราที่ปกติมีความอ่อนไหวกับสภาพแวดล้อมอยู่แล้ว ทั้งยังย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
การพ่นสารกำจัดวัชพืช, กำจัดแมลง หรือฮอร์โมนทางใบชนิดต่างๆ แทบจะไม่ได้ผลเลยถ้า ไม่ใส่สารเสริมประสิทธิภาพ เพราะสารออกฤทธิ์จะไม่เกาะจับใบที่มีไข (แวกซ์) ฉาบบนผิว แรงดึงผิวน้ำที่เป็นเม็ดบนผิดใบจะตรึงเอาสารออกฤทธิ์ไว้ไม่แผ่กระจาย เมื่อใดที่ลมพัดไหวก็จะหลุดจากใบหล่นร่วงลงดิน โดยเฉพาะผิวของตัวแมลงศัตรูพืชที่ล้วนแต่มีไข (แวกซ์) ป้องกันตัวทั้งสิ้น เมื่อเกษตรกรพ่นสารไปแล้วไม่ได้ประสิทธิภาพก็จะพ่นซ้ำและซ้ำจนแมลงสามารถสร้างภูมิต้านทานได้ (ดื้อยา) แต่การใช้สารมากๆ แบบทิ้งเปล่านั้น มันคือต้นทุนที่เกษตรกรมองไม่เห็น แต่ความชัดเจนที่เห็นคือ “ผลผลิตที่ได้ต่ำกว่าที่ควรจะได้”
น้ำยาล้างจาน น้ำสบู่ ไม่ควรนำมาใช้แทนสารจับใบกับสารชีวภัณฑ์ เพราะมีองค์ประกอบของโซเดียมไฮดรอกไซค์เป็นองค์ประกอบ และจะถูกชะล้างจากน้ำได้เช่นเดียวกับที่นำไปล้างจาน เพราะถ้าน้ำไม่สามารถล้างออกได้ ก็จะเป็นอันตรายกับมนุษย์ (อย.ควบคุม) ดังนั้น การนำมาใช้จึงต้องพิจารณาว่าเป็นไปได้หรือไม่
พืชอาศัย
พืชอาศัยของเพลี้ยแป้งสีชมพูที่พบคือ อ้อย ส่วนที่พบในดินที่อาศัยอยู่กับรากพืช เป็นเพลี้ยแป้งลายตัวเก่าที่เรียกว่า (firrisia virgata) พบแหล่งอาศัยกับรากปาล์มฟอกซเทล และรากพืชที่อวบน้ำ
เพลี้ยแป้งสีชมพูจะหายไปโดยไร้ร่องรอยเมื่อฝนตกหนัก น้ำฝนจะทำให้หลุดร่วงจากต้นมันสำปะหลังลงไปที่พื้น น้ำจะพัดพากลุ่มเพลี้ยแป้งไปจากพื้นที่ระบาดไประบาดที่อื่น กับพืชที่สามารถจะให้อาศัยได้ แหล่งอาศัยที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดคืออ้อย กาบอ้อยจะป้องกันการชะล้างจากน้ำฝนได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้หลุดร่วงจากต้นอ้อยที่อาศัยได้ เพลี้ยแป้งสีชมพูที่พบจะเกาะและดูดน้ำเลี้ยงของอ้อยที่บริเวณข้ออ้อย ที่ยังอ่อนและจะย้ายขึ้นไปเมื่ออ้อยย่างปล้องใหม่ เพราะปล้องเดิมที่เกาะอยู่เริ่มแก่และเข็งยากแก่การเจาะดูดได้
การค้นพบครั้งนี้ ส่งสัญญาณว่าอนาคตข้างหน้าพืชพลังงานที่คาดว่าจะขยายพื้นที่ปลูกในปีนี้ เช่น อ้อย ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงการระบาดทำลายของเพลี้ยแป้งสีชมพูได้ และถ้าจะมองทะลุไปถึงพืชใบเลี้ยงเดี่ยวชนิดอื่น เช่น ข้าวโพดก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมายมากนัก ผู้รับผิดชอบต้องจริงจังกับการป้องกันให้เป็นรูปธรรม มิใช่ทำอย่างที่เป็นมา ที่ทั้งเชื่องช้าและดูเหมือนไม่จริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่จะทำแบบไฟไหม้ฟางมาตลอด โดยไม่มีใครรับผิดชอบอย่างต่อเนื่องจนการกำจัดได้ผลเต็มประสิทธิภาพ สุดท้ายก็จะกลายเป็นวิกฤตที่นับวันจะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จนเกินความสามารถที่จะควบคุมได้
ไม่มีความเห็น