ลักษณะการทำลายและการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพูมันสำปะหลัง (2)
ต่อเนื่องจากเรื่องเพลี้ยแป้งสีชมพูพบว่า เพลี้ยแป้งจะอาศัยเกาะและใช้ปากดูดทุกส่วนของพืชที่อาศัย โดยเฉพาะยอดอ่อน ใช้ปากเจาะและดูดน้ำเลี้ยงจากท่อลำเลียงอาหารพืช และจะดูดทำลายจนพืชเหี่ยวเฉา จนเกิดอาการข้อถี่ ยอดแห้ง และ ตายในที่สุด กรณีรุนแรงในหนึ่งยอด จะมีจำนวนเพลี้ยและไข่ที่พร้อมที่จะฟักเป็นตัวอ่อนมาทำลายนับเป็นพัน เป็นหมื่นตัว
มันสำปะหลังที่ถูกทำลายจะมีอาการใบหงิกก่อน (ใบอ่อน) นักวิชาการเรียกว่ายอดแตกพุ่ม หรือพุ่มแจ้ แต่ชาวบ้านเรียกดอกกะหล่ำ
เพลี้ยแป้งวัย 2-3 จะเข้าทำลายมันสำปะหลังทุกส่วนที่เกาะอาศัย โดยใช้ปากเจาะลงไปจนถึงท่อน้ำเลี้ยงพืช ถ่ายมูลหวานออกมาเมื่อตัวเต็มวัน มูลหวานที่ถายออกมาปกคลุมบนหลัง มดชอบกินเป็นอาหาร ฝูงมดจะกินและคาบตัวเพลี้ยแป้งวัยอ่อนกลับรังด้วย (เป็นการแพร่ระบาดทางหนึ่งโดยมด) และเส้นทางที่มด นำมูลหวานไปจะทำให้เกิดเป็นราดำฉาบไปทั่วผิวใบ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการสังเคราะห์แสง (ปรุงอาหาร) ของใบพืช การเจริญเติบโรของพืชจะชะลดลง และหยุดชะงักตามความรุนแรงของการทำลาย ผลผลิตพืชลดลงจนถึงเสียหายทั้งหมด
การทำลายของเพลี้ยแป้ง เมื่อมันสำปะหลังมีอายุเกินกว่า 5 เดือน ซึ่งสร้างหัวแล้ว จะส่งผลให้ ชะงักในการสร้างขนาดและแป้ง ผลผลิตจะลดลง (ประมาณการอย่างน้อย 10-20%) และถ้าไม่มีการแก้ไข อาจรุนแรงถึงขั้นเสียหายทั้งหมด
การทำลายของเพลี้ยแป้งเมื่อมันสำปะหลังมีอายุต่ำกว่า 4 เดือน จะส่งผลกระทบต่อการ สร้างหัวโดยที่เกษตรกรไม่รู้ (ไม่เคยถอนดู) ฉะนั้นถ้าระบาดในมันสำปะหลังอายุต่ำกว่า 4 เดือน และพบว่า มีผลดังกล่าว เกษตรกรควรทำลาย โดยการถอนและเผา (ห้ามไถกลบ) เพื่อลดพื้นที่อาศัยและการระบาดของเพลี้ยแป้งในปีต่อไป
การระบาดที่น่ากลัวที่สุดและรวดเร็วที่สุด ไม่ใช่มด หรือลม ดังที่นักวิชาการทั้งหลายชอบนำมากล่าว แต่ที่ระบาดเร็วกว่า อยู่ที่... “คน” และพฤติกรรมของคนที่ไม่ใส่ใจคำแนะนำในเรื่องนี้ต่างหาก “คน” ดังกล่าว แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทที่ 1 “คนขายต้นพันธุ์” ตั้งหน้าตั้งตาจะขายลูกเดียว ไม่คำนึงผลกระทบกับผู้ซื้อ ขอให้ขายได้ราคาแพงเป็นพอใจ (ต้นทุน 40 สตางค์ ขาย 4-8 บาท/ต้น) ขายต้นแถมเพลี้ยที่ซ่อนอยู่ใต้ตาต้นพันธุ์อีกต่างหาก “คน” ประเภทที่ 2 “คนซื้อต้นพันธุ์” (เกษตรกร) พันธุ์ไหนออกมาใหม่ แป้งดี น้ำหนักดี (คนขายว่ามา) ซื้อหมด แพงก็เอก... คนขายบอกสะอาดก็เชื่อโดยไม่เฉลียวใจ สุดท้ายก็ต้องมานั่งแก้ปัญหาเพราะของแถมที่ได้มากับต้นทำพิษ (ที่มีวันนี้มาจากของแถมทั้งสิ้น)
การเคลื่อนย้ายต้นพันธุ์ที่มีเพลี้ยแป้งติดอยู่ที่ต้น โดยมีมีการแช่น้ำยาหรือสารเคมีก่อนนั้น นั่นแหละคือการนำเพลี้ยแป้งไปโปรยในระหว่างทางที่ผ่าน เพราะเมื่อรถบรรทุกต้นพันธุ์ออกวิ่ง แรงลมจะพัดเอาเพลี้ยแป้งหลุดออกมาฟุ้งกระจายไปสองข้างทาง และหาพืชอาศัยดำรงชีพรอการระบาดต่อไป ดังนั้น การระบาดโดยพฤติกรรมของ “คน” จึงน่ากลัว และควบคุมได้ยากกว่าการระบาดทางธรรมชาติ
การระบาดครั้งนี้นอกจากผลผลิตโดยรวมจะลดลงอย่างน่าเป็นห่วงแล้ว ยังจะส่งผลในปีต่อไปในเรื่องต้นพันธุ์สะอาดที่ใช้ปลูก เพราะขณะนี้คงไม่มีจังหวัดใดไม่มีการระบาด (นอกจากไม่รู้ว่ามันระบาด) แล้วรายงานว่าไม่ระบาด จะด้วยเหตุและผลประการใดก็ตาม ที่แน่ๆ ต้นพันธุ์สะอาด หรือต้นพันธุ์ที่ยังสามารถนำมาใช้ได้มีน้อยและหายาก จึงน่าที่แต่ละจังหวัดควรมีโครงการปลูกต้นพันธุ์สะอาดไว้ใช้เองในพื้นที่ (มีโครงการต้องมีงบประมาณส่งเสริมด้วย)
การเด็ดยอดมันสำปะหลังออก จะส่งผลให้มีปัญหากับต้นพันธุ์เช่นกัน เพราะยอดที่แตกออกมาหลังการเด็ด จะไม่เป็นต้น แต่จะแตกเป็นกิ่งสิงถึงสามกิ่ง ตาห่าง ไม่สามารถนำไปขยายทำต้นพันธุ์ที่ดีได้ จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนว่าปัญหาการขาดแคลนต้นพันธุ์จะเกิดขึ้นแน่นอน
ไม่มีความเห็น