ผลการศึกษาการสนับสนุนให้สามี/ญาติเข้าเยี่ยมในระยะคลอดช่วยลดอุบัติการณ์การทำสูติศาสตร์หัตถการ และการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องที่ไม่ได้สืบเนื่องมาจากภาวะแทรกซ้อน
นางสุมาลัย นิธิสมบัติ
นางบุษรา ใจแสน
นางสาวกัญญาณี รัตนอารียกรณ์
ในปัจจุบันพบว่าการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องและการคลอดโดยการใช้สูติศาสตรหัตถการมีอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่วนใหญ่มาจากความต้องการของผู้รับบริการคลอดมากกว่าความจำเป็นจากการมีภาวะแทรกซ้อน เพราะผู้รับบริการเกิดความกลัวต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกลัวว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นเพียงคนเดียวอีกทั้งไม่มั่นใจว่าตนเองจะคลอดได้อย่างปลอดภัย จึงต้องการให้เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากทำการผ่าตัดคลอดในครรภ์แรกครรภ์ที่ 2 ก็ต้องผ่าตัดอีก การผ่าตัดคลอดบุตรของประเทศไทยนอกเหนือจากข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เพื่อช่วยให้แม่และเด็กปลอดภัยแล้วยังเกี่ยวข้องกับด้านสังคมค่านิยม และเศรษฐกิจ โดยทั่วไปร้อยละ80-90 ของการคลอดเป็นการคลอดธรรมชาติมีเพียงร้อยละ 10-20 ที่มีปัญหาคลอดเองไม่ได้แต่ตัวเลขการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องของประเทศไทยกำลังขยับตัวขึ้นประมาณ ร้อยละ 50(ปี 2531-2544) สูงกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าไม่ควรเกินร้อยละ 15 ถึงกว่า 3 เท่าตัว และสถิติของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพนครสวรรค์ ในปี 2546 การผ่าตัดคลอดร้อยละ 33 และปี 2547 ร้อยละ 34 ดังนั้นหากสนับสนุนให้ญาติ/สามีได้เข้าเยี่ยมเป็นระยะ จะช่วยลดความหวาดกลัวและวิตกกังวล เกิดความมั่นใจจนเป็นผลดีในระยะคลอด ลดอุบัติการณ์ของการทำสูติศาสตร์หัตถการรวมถึงการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องที่เกิดจากความต้องการของผู้รับบริการคลอดลงได้
จากการศึกษาพบว่า
จากนี้พบว่าสถานการณ์การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แรกคลอดสามารถทำได้ร้อยละ 86.36 ไม่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แรกคลอดเพียงร้อยละ 13.63
เพื่อพัฒนาการบริการในระยะรอคลอด และควรมีการจัดทำโครงการให้สามีมีส่วนร่วมในการคลอดเพิ่มขึ้น
* เย้..เย้..เห็นด้วยค่ะ
* สำหรับโครงการที่ให้สามีมีส่วนร่วมในการคลอด
* สามีจะได้เข้าใจความรู้สึกของภรรยาและเป็นกำลังใจให้