นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทัว ทรงมีพระราชดำริ
เรื่องทฤษฎีใหม่
เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างชื่นชมโสมนัสและได้นำเอาแนวคิดทฤษฎีใหม่
เกี่ยวกับ "เศรษฐกิจพอเพียง" ไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ สนองแนวพระราชดำริ
"เศรษฐกิจพอเพียง"
นับเป็นกรณีตัวอย่างที่สถานศึกษาต่างๆสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางได้อย่างดียิ่ง
ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ
สนองแนวพระราชดำริ
“เศรษฐกิจพอเพียง : Sufficiency
Economic”
โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เศรษฐกิจพอเพียง
เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ
ทั้งครอบครัว ชุมชน จนถึงภาครัฐ
เน้นการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปตามทางสายกลาง
โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ
ความมีเหตุผล
รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร
ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน
ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ
และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน
และการดำเนินการทุกขั้นตอน
และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ
นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม
ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม
ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ
เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ
สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี (ชาชิวัฒน์
ศรีแก้ว 2545 : 3)
เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถของชุมชนเมือง รัฐ ประเทศ
หรือภูมิภาคหนึ่ง ๆ
ในการผลิตสินค้าและบริการทุกชนิดเพื่อเลี้ยงสังคมนั้น ๆ
ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่าง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ
เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล คือ
ความสามารถในการดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน
มีความเป็นอยู่อย่างประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพ
ที่สำคัญไม่หลงใหลไปตามกระแสของวัตถุนิยม มีอิสรภาพ เสรีภาพ
ไม่พันธนาการอยู่กับสิ่งใด (สุนทร กุลวัฒนวรพงศ์ 2545
:44)
เศรษฐกิจพอเพียง
หมายถึง เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเอง (Relative
Self-Sufficiency) อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน
แต่ต้องสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีเสียก่อน
คือตั้งตนให้มีความพอกินพอใช้
ไม่ใช่จะมุ่งหวังแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ
ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่พึ่งตนเอง
ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้า
และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับต่อไปได้ (ทัศนีย์
ลักขณาภิชนธัช 2545 : 65)
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไดพระราชทานพระราชดำรัส
เพิ่มเติมให้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงว่า
“...คำว่า พอเพียง มีความหมายกว้างออกไปอีก
ไม่ได้หมายถึงการมีใช้สำหรับใช้ของตนเอง
มีความหมายว่าพอมีพอกิน...พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า
เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง...”
“...ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่ามีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย
ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย
แต่ก็ทำให้มีความสุขถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ
สมควรที่จะปฏิบัติ...”
“...Self-sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้
ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่นอยู่ได้ด้วยตนเอง...”
“...คนเราถ้าพอในความต้องการ มันก็มีความโลภน้อย
เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้
มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ซื่อตรง
ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข...” (สุนทร ตุลวัฒนวรพงศ์
2545 : 57)
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน
และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า
อุ้มชูตัวเองได้ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง...”
“...ความพอเพียงนี้
ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว
จะต้องทอผ้าใส่ให้ตัวเองสำหรับครอบครัว อย่างนี้มันก็เกินไป
แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะมีความพอเพียงพอสมควร
บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการที่ขายได้
แต่ขายในที่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...” (ทรงเกียรติ
เมณฑกา 2541 : 10)
ถ้าประเทศไทยได้มีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง
หมายความว่า พอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก
คนเราก็อยู่เป็นสุข”
“พอเพียงนี้อาจจะมี มีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้
แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง
ปฏิบัติงานพอเพียง...”
“...ฉะนั้น ความพอเพียงก็แปลว่า ความพอประมาณและความมีเหตุผล...”
(ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช เล่มเดียวกัน : 65)
การดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือการดำรงชีพแบบ “พออยู่พอกิน”
ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาจปฏิบัติดังนี้
1. ยึดความประหยัด ลดค่าใช้จ่าย ไม่ฟุ่มเฟือย
ในการดำรงชีพอย่างจริงจัง ดังพระราช ดำรัสว่า
“...ความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องฟุ่มเฟือย
ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง...”
2. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง
สุจริต แม้ว่าจะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพก็ตาม
ดังพระราชดำรัสว่า
“...ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและการหารเลี้ยงชีพชอบเป็นหลักสำคัญ...”
3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์
และการแบ่งปันกันในทางการค้า
หรือการประกอบอาชีพแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรงเหมือนอดีต
ดังพระราชดำรัสว่า “...ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง
ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรมทั้งในเจตนาและการกระทำ
ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ
หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น...”
4. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยากครั้งนี้
โดยต้องขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้เกิดมีรายได้เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นพอเพียง
เช่นเป้าหมายสำคัญ ดังพระราชดำรัสว่า
“...การที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้
เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตังเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า
ที่มีความสุข พอมีพอกิน เป็นขั้นหนึ่งและขั้นต่อไป ก็คือ
ให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วยตนเอง...”
5. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี
ลดละสิ่งไม่ดีให้หมดสิ้น จากที่สังคมไทยได้ประสบภาวะวิกฤติในครั้งนี้
เพราะยังมีบุคคลจำนวนมากที่ดำเนินการโดยปราศจากความละอายต่อแผ่นดิน
ดังพระราชดำรัสว่า “...พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัว
ทำลายผู้อื่น พยายามลด พยายามละความชั่วที่ตัวเองมีอยู่
พยายามก่อความดีให้แก่ตัวเองอยู่เสมอ
พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้นให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น...”
(สุนทร กุลวัฒนวรพงศ์ เล่มเดียวกัน:59)
การพัฒนาประเทศนับตั้งแต่มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
1 ในปีพ.ศ. 2504 ที่ผ่านมา
ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการพัฒนาที่ขาดสมดุลโดยประสงความสำเร็จเฉพาะในเชิงปริมาณ
แต่ขาดสมดุลด้านคุณภาพ เกิดเป็นจุดอ่อนให้กับการพัฒนาสังคม
ขณะเดียวกันการพัฒนาที่ผ่านมา
ได้ก่อให้เกิดทุนทางสังคมและทางเศรษฐกิจหลายประการซึ่งเป็นจุดแข็ง
เกิดประโยชน์ในการนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศเช่นเดียวกัน
การพัฒนาประเทศในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 1 – 8
(พ.ศ. 2504 – 2544)
ในช่วงแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 1 – 2
กระบวนการพัฒนาประเทศเน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ด้วยการลงทุนกระจายการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน
การสร้างสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา
เน้นการขจัดความยากจนโดยการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่ม
GDP ของคนในประเทศให้สูงขึ้น จึงทำให้เกิดช่องว่างการกระจายรายได้
และคุณภาพชีวิตของคนในเมืองกับชนบท แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3
จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสังคมมากขึ้น
มีนโยบายประชากรในการวางแผนครอบครัว เพื่อลดอัตราเพิ่มของประชากร
การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ ต่อมา ในแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 4 ยังคงรักษาเสถียรภาพและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
รวมทั้งฟื้นฟูจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
แต่ความผันผวนทางการเมืองและวิกฤตการณ์น้ำมัน
ก่อให้เกิดปัญหาการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างรุนแรง
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5 – 6 จึงมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาคุณภาพคน
การสวัสดิการสังคม
ต่อมาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมขยายตัวอย่างมากเกินกว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศจะรองรับได้
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 จึงได้เริ่มปรับแนวคิดไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม จากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 – 7
ทำให้เห็นการพัฒนาประเทศว่า “เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา
การพัฒนาไม่ยั่งยืน” ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
จึงเป็นแผนที่ปฏิรูปความคิดและคุณค่าใหม่ของสังคม
เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
ให้เศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือช่วยพัฒนาให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมมีสมรรถภาพ มีเสรีภาพ ยุติธรรม
และมีการพัฒนาแบบสมดุลบนพื้นฐานความเป็นไทย
ปรับเปลี่ยนวิธีการพัฒนามาเป็นการพัฒนาแบบองค์รวม
เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายในสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาให้เป็น “เศรษฐกิจดี
สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน”
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549)
จึงเป็นแผนที่ได้รับอัญเชิญแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาและบริหารประเทศโดยยึดหลักทางสายกลางเพื่อช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ทำให้สามารถดำรงชีพอยู่ใต้โดยมีความมั่นคงเป็นผลนำไปสู่การพัฒนาที่สมดุล
มีคุณภาพและยั่งยืน
ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลก
การพัฒนาในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง
จึงเป็นการใช้คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา การพัฒนาแบบองค์รวม
การพัฒนาที่สมดุลย์ ทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม
การเมือง ฯลฯ
โดยใช้พลังทางสังคมเป็นกระบวนการสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาในรูปแบบของเครือข่าย
อันประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ฐานคิดการพัฒนาเพื่อความพอเพียง
1. ยึดแนวพระราชดำริ
การพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามขั้นตอนทฤษฎีใหม่
2. สร้างพลังทางสังคม โดยการประสานกับภาครัฐ
องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ ธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน ประชาชน ฯลฯ
เพื่อใช้ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาธุรกิจชุมชน
3. ยึดพื้นที่เป็นหลัก
ให้องค์กรชุมชนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและให้ภาคอื่น ๆ คอยให้การกระตุ้น
ส่งเสริม และสนับสนุน
4. ใช้กิจกรรมของชุมชนเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้และการจัดการร่วมกัน
พร้อมพัฒนาอาชีพที่หลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกของคนในชุมชน
ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งด้านเพศ วัย การศึกษา ความถนัด ฐานะ
ฯลฯ
5. ส่งเสริมการรวมกลุ่ม และการสร้างเครือข่าย
องค์กรชุมชนเพื่อสร้างคุณธรรมจริยธรรมและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างรอบด้าน
ทั้งการศึกษา สาธารณสุข การฟื้นฟูวัฒนธรรม การจัดการสิ่งแวดล้อม
เป็นต้น
6. การวิจัยและการพัฒนาธุรกิจชุมชนครบวงจร
โดยให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและฐานทรัพยากรของท้องถิ่น
การเริ่มพัฒนาจากวงจรธุรกิจขนาดเล็กระดับท้องถิ่นไปสู่วงจรธุรกิจขนาดใหญ่ระดับประเทศ
และต่างประเทศ
7. พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
ให้มีศักยภาพสูงให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน
ที่มีข้อมูลข่าวสารธุรกิจนั้น ๆ
อย่างครบวงจรพร้อมทั้งใช้เป็นสถานที่ศึกษาดูงานและฝึกอบรม
ดังพระราชดำรัสที่ทรงกล่าวไว้ว่า
“...การพัฒนาประเทศจำต้องทำตามลำดับขั้นตอน
ต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกิน
พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน
โดยวิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด
แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการเพื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว
จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับต่อไป
หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ
ยกเศรษฐกิจโดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะประเทศและประชาชนไทยสอดคล้องด้วย
ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น
ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด
ดังเห็นได้ที่อารยะประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในเวลานี้...”
(ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช เล่มเดียวกัน:66)
กล่าวคือ การหันกลับมายึดหลักทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
ในการดำรงชีวิตโดยใช้หลักการพึ่งตนเอง 5 ประการดังนี้
1. ด้านจิตใจ
ทำให้ตนเป็นที่พึ่งตนเอง มีจิตสำนึกที่ดี
สร้างพลังผลักดันให้มีภาวะจิตใจที่เข้มแข็งที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ
และตั้งมั่นในความบริสุทธิ์ ยุติธรรม
2. ด้านสังคม
ภายในชุมชนให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เชื่อมโยงกันเพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนให้มีความเข้มแข็งและเป็นอิสระ
3.
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มีการจัดการเก็บทรัพยากรอย่างชาญฉลาดโดยนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการแปรรูปทรัพยากรให้เกิดมูลค่า
เกิดประโยชน์สูงสุด
4. ด้านเทคโนโลยี
ควรส่งเสริมให้มีการศึกษา
และเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ และสังคมไทย
5. ด้านเศรษฐกิจ
ยึดหลักพออยู่พอกินพอใช้ ลดรายจ่ายในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ
แนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงจะช่วยแก้ไขวิกฤตทางเศรษฐกิจและปัญหาของสังคมไทย
คือ ช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในภาคเกษตรและที่กลับคืนสู่ภาคเกษตร
มีรายได้และ
ในขณะเดียวกัน
ภายในชุมชนต้องช่วยกันสร้างรากฐานของชุมชนให้มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะสามารถพึ่งตนเองได้ระยะยาว
โดยแนวคิดระบบเศรษฐกิจพอเพียง มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ประการ
ได้แก่
ประการแรก
เป็นระบบที่ยึดหลักการที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
โดยมุ่งเน้นการผลิตพืชผลให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรก
เมื่อเหลือพอจากการบริโภคแล้วจึงคำนึงถึงการผลิตเพื่อการค้า
สร้างกำไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนสถานะของผู้ผลิต กล่าวคือ
เกษตรกรจะกลายเป็นผู้กำหนดตลาด มากกว่าตลาดจะเป็นตัวกำหนด
เกษตรกรเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ที่สำคัญควรมีการลดค่าใช้จ่ายโดยการสร้างสิ่งอุปโภคในที่ดินของตนเอง
เช่น ข้าว ปลา ไก่ ไม้ผล พืชผัก ฯลฯ
ประการที่สอง
เศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบ้านโดยกลุ่ม
หรือองค์กรชาวบ้าน จะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ
ให้มีความหลากหลายและครอบคลุมทั้งการเกษตรแบบผสมผสาน การแปรรูปอาหาร
งานหัตถกรรม การทำธุรกิจ ค้าขายและการท่องเที่ยวระดับชุมชน ฯลฯ
เมื่อองค์กรชาวบ้านได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง
มีเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้น
คนในชุมชนก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นได้รับการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาในทุก ๆ
ด้าน
ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศมีความเจริญเติบโตไปได้อย่างมีเสถียรภาพ
ประการที่สาม
เศรษฐกิจแบบพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีเมตตา ความเอื้ออาทร
และความสามัคคีของสมาชิกในชุมชนในการร่วมแรงร่วมใจเพื่อประกอบอาชีพต่าง
ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ ก่อให้เกิดประโยชน์ทางรายได้
การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันครอบครัว ชุมชน
ความสามารถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของชุมชนบนพื้นฐานของการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
รวมทั้งการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียม จารีต
ประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยให้คงอยู่ตลอดไป
แนวคิดของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยยึดหลักความพอดีกับศักยภาพของตนเองบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง
รวมทั้งมีความเอื้ออาทรต่อคนอื่น ๆในสังคมเป็นประการสำคัญ
ถึงแม้ว่าข้อคิดทั้งหมดจะมุ่งเน้นไปสู่ภาคเกษตรหรือผู้ที่มีที่ดินทั้งหลาย
ก็ไม่ได้หมายความว่าภาคอื่นจะต้องกลับไปสู่ภาคเกษตรดังสังคมไทยสมัยโบราณกาล
แต่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาใช้เป็นหลักการดำเนินชีวิตได้
เพราะเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน
ในการยึดวิถีชีวิตไทย อยู่แต่พอดีไม่ฟุ่มเฟือยอย่างไร้ประโยชน์
ไม่ยึดติดกับวัตถุ ยึดหลักทางสายกลาง มีความเป็นอยู่ตามฐานะ
ใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ใช้หลักการลงทุนเชิงการพนัน ซึ่งตั้งอยู่บนความเสี่ยง
หรือาการกู้เงินมาลงทุนโดยหวังรวยอย่างรวดเร็ว
เพราะอาจจะทำให้ล้มละลายได้ ต้องตั้งมั่นอยู่บนหลักของ “รู้ รัก
สามัคคี”
ใช้สติปัญญาปกป้องตนเองไม่ให้หลงใหลไปกับกระแสความเจริญเติบโต
ความศิวิไลซ์ของโลกยุคใหม่ โดยไม่คิดถึงผลกระทบตามมา
รู้จักแยกแยะสิ่งดี ไม่ดี เป็นประโยชน์
ตามสภาพความเป็นจริงของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง
สร้างพลังสามัคคีในหมู่คณะ เพื่อความเข้มแข็งและมั่นคง
กอบกู้วิกฤตของประเทศรวมทั้งเพื่อเป็นการพัฒนา แก้ไข ปัญหาของสังคม
ให้มีการพัฒนาในรูปแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน
แนวคิดการจัดศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ
สนองแนวพระราชดำริ
“เศรษฐกิจพอเพียง”
สืบเนื่องมาจากการปฏิรูปการเรียนรู้ที่โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่เริ่มมีพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
ดังนั้นคณะผู้บริหารและคณะกรรมการสถานศึกษาจึงได้พร้อมใจกันจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ขึ้นมาบนเนื้อที่
16 ไร่ ที่บริเวณตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ให้ชื่อว่า
ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ
สนองแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง"
ภายในศูนย์ได้จัดแบ่งพื้นที่ส่วนต่างๆออกเป็นพื้นที่เพาะปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด
พืชแต่ละชนิดจะมีป้ายชื่อและสรรพคุณซึ่งทำขึ้นตามหลักเกณฑ์วิธีการของสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนปลูกผักสวนครัวในแปลงเกษตร
ขุดบ่อเลี้ยงปลา มีเล้าหมู
และบ้านพักพร้อมทั้งศาลาเรือนไทยกลางน้ำสำหรับเป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ
จุคนได้ประมาณ 200-300 คน
กิจกรรมการเรียนรู้ลักษณะบูรณาการ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ลักษณะบูรณาการ
ตามหลักสูตรสถานศึกษา "บริบทอยุธยา"
ซึ่งนักเรียนทุกคนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึง ม.3
ได้มีโอกาสไปศึกษาเรียนรู้ตามตารางเรียนที่กำหนดไว้
ประมาณสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างต่ำ
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้มาร่วมกันจัดทำ
"แผนการเรียนรู้แบบบูรณาการ"
โดยมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ภายในศูนย์อย่างหลากหลาย
ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เป้าหมายและธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละระดับ
ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนช่วงชั้นที่ 1
(ป.1-3)
เข้าไปศึกษาตามฐานการเรียนรู้ภายในศูนย์
แบ่งออกเป็นฐานต่างๆ เช่น ฐานพฤกษาพาเพลิน
พฤกษาสารพัดประโยชน์ ฯลฯ
เมื่อนักเรียนได้ทำกิจกรรมแต่ละฐานตามใบงานหรือใบสร้างความรู้ที่ครูกับนักเรียนได้ร่วมกันกำหนดไว้แล้ว
ครูผู้สอนสามารถจะวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามสภาพจริง
โดยการสังเกต สอบถาม และตรวจผลงานของนักเรียน
กระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆเหล่านี้เป็นไปตาม"รูปแบบการสอนของจิระศาสตร์
หรือ JIRASART Teaching's Model" (ดูรายละเอียดจาก
www.jirasart.com)
ผลงานความสำเร็จและความภาคภูมิใจ
จากความมุ่งมั่นพยายามในการปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนโดยใช้รูปแบบการสอนของ
จิระศาสตร์เป็นไปตามปรัชญาของโรงเรียนที่ว่า...จิระศาสตร์ต้อง
"ฉลาดและมีคุณธรรม" สอดประสานกับเจตนารมณ์ของ
พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ที่ต้องการให้เด็กและเยาวชนไทยมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กล่าวคือ
"เป็นคนดี มีปัญญา
และมีความสุข"
จากสังเกตและสอบถามนักเรียนประกอบกับคำบอกเล่าของท่านผู้ปกครองนักเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง
พบว่าผลจาการที่บุตรหลานได้มีโอกาสไปศึกษาเรียนรู้ภายในศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ทำให้มีผลสำเร็จเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างน้อย
3 ประการ คือ
ประการแรก
นักเรียนได้เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามสภาพจริง
เช่น ปลูกผัก ขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ
และนำไปขยายผลที่บ้านของนักเรียน
นักเรียนบางคนไม่มีพื้นที่เพาะปลูกก็มีการประยุกต์ใช้ความรู้โดยการปลูกผักลอยฟ้า
เป็นต้น
ประการที่สอง
นักเรียนมีความสุขที่ได้ออกไปเรียนรู้ตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆนอกห้องเรียน
รู้จักการสังเกต สอบถาม
ทำงานเป็นทีม รู้จักการจดบันทึกและนำเสนอรายงานหรือผลงานเป็นต้น
ประการสุดท้าย
ครูนักเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้
"ศิษย์กับครูเรียนรู้พร้อมๆกัน"
นับเป็นบรรยากาศของ
"การจัดการความรู้"ที่เป็นประโยชน์
มีความหมาย และท้าทายอย่างยิ่ง
ถึงวันนี้ท่านผู้บริหารและครูผู้สอนทุกท่านคงไม่ปฏิเสธใช่ไหมครับว่า
"เราต้องปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอน"
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการสังเกต ทดลอง
ลงมือปฏิบัติจริงควบคู่ไปกับการเรียนหลักการหรือทฤษฎี
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ตามธรรมชาติ
สนองแนวพระราชดำริ "เศรษฐกิจพอเพียง" บนเนื้อที่ 16 ไร่
ของโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 7 กิโลเมตร
อยู่ใกล้กับช่างแสง เยื้องโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช
ห่างจากถนนสายเอเซียประมาณ 80 เมตร
การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในเนื้อที่ 16 ไร่
แบ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับ สวนเกษตรประมาณ 8 ไร่
บ่อเลี้ยงปลา 2 ไร่ สนามหญ้า 4 ไร่ และพื้นที่ปลูกสร้างอาคารประมาณ 2
ไร่
ซึ่งศูนย์แห่งนี้เป็น "สวนพฤษศาสตร์โรงเรียน"
ตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้
โรงเรียนได้จัดตารางการใช้ศูนย์ฯโดยมอบหมายให้ครูผู้สอนจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกระดับ
ทุกช่วงชั้น
ซึ่งในแต่ละสัปดาห์นักเรียนจะมีโอกาสไปศึกษาศูนย์แห่งนี้ประมาณสัปดาห์ละ
1 ครั้ง โดยมีรถบัสของโรงเรียนรับ-ส่ง ใช้เวลาศึกษา
เรียนรู้ประมาณ 2 ชั่วโมง/ครั้ง
ผลดีจากการเรียนในศูนย์การเรียนรู้
จากการสังเกตและสอบถามนักเรียนพบว่า
1. นักเรียนมีความกระตือรือร้น
สนใจในการเรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในศูนย์ เช่น ต้นไม้
ไม้ดอก ไม้ประดับ
(ตามรายละเอียดข้อมูลพรรณไม้ที่อยู่ภายในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน)
2. นักเรียนได้เรียนรู้จากการสังเกต ทดลอง
และลงมือปฏิบัติจริงตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูกำหนด
3.
ครูผู้สอนแต่ละคนมีโอกาสจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การบูรณาการสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
ศิลปะ ฯลฯ
4. นักเรียนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ร่มรื่น สวยงาม
และมีอากาศดี
ผลพลอยได้จากการจัดศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ
สนองแนวพระราชดำริ
"เศรษฐกิจพอเพียง"
1.
โรงเรียนมีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจหรือการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น
2. ผลผลิตจากสวน เช่น ผลไม้ตามฤดูกาล ไม้ดอก ไม้ ประดับ
สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่นักเรียน
เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการซื้อ
และยังสามารถจัดจำหน่ายได้ด้วย
3. เศษอาหารที่เหลือจากการบริโภคภายในโรงเรียนสามารถนำไปเลี้ยง หมู
เป็ด ไก่ หรือปลาในศูนย์ฯ เป็นการ Re-used
4.
ผู้ปกครองและชุมชนได้ใช้เป็นสถานที่ฝึกอาชีพ เช่น การทำปุ๋ย EM
เป็นต้น
ข้อจำกัดของการนำนักเรียนไปศึกษาเรียนรู้ที่แหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียน
1. ต้องมีรถรับ-ส่งนักเรียน
และมีค่าใช้จ่ายค่านำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
2. ครูจะต้องมีการเตรียมการวางแผน จัดเตรียมข้อมูล
ใบงานให้พร้อมเป็นการล่วงหน้าก่อนที่จะนำนักเรียนไป
3.
การนำนักเรียนไปแต่ละครั้งจะต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางหรืออุบัติเหตุต่างๆ
จึงต้องจัดครูดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด
*ท่านใดสนใจสามารถตามไปดูได้ที่ศูนย์การเรียนรู้ตามธรรมชาติฯ
โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตำบลบ่อโพง
อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โทร
035-211300
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ
26 พ.ค.2549