วันนี้มีโอกาสลงไปช่วยต้อนรับแขกผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยมครูจูหลิงที่ ICU อีกครั้ง รวมทั้งได้นำ
ครูสินีนาฏ เข้าเยี่ยมครูจูหลิงด้วย
แขกที่มาเยี่ยมครู จะได้เยี่ยมภายนอกห้องกระจก
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ยกเว้น
ผู้เยี่ยมที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครูจริง ๆ
จึงจะได้เข้าเยี่ยมในห้อง
บรรยากาศของแม่ครูจูหลิง เมื่อได้พบครูสินีนาฏ
เป็นความยากเหลือเกินที่ตัวเองจะถ่ายทอดให้คนทั้งหลายที่พยายามจะเอาใจช่วยได้รับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นแม่เมื่อยามได้เจอเพื่อนของลูกที่ประสบเหตุชะตากรรมมาด้วยกัน
ตรงหน้าคือเพื่อนของลูกที่ปลอดภัย
เมื่อเหลียวไปทางขวาคือลูกของแม่ที่แม่ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะดีหรือร้าย
ภาพที่เห็นคือต่างคนต่างโผเข้ากอดซึ่งกันและกัน
เสียงสะอื้นของคนทั้งสองน่าจะสื่อความรู้สึกเข้าถึงกันโดยไม่ต้องพูด
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเงียบสงบ
ไม่สนใจใส่ใจต่อเสียงรอบข้างของเตียงผู้ป่วยอื่นๆ
บ้างก็น้ำตาคลอต่อภาพที่เห็น บ้างก็หันไปทางอื่นพร้อมซับน้ำตา
ส่วนคุณโกสุมภ์ผู้ตรวจการพยาบาลเข้าไปโอบผู้เป็นแม่
สักครู่หนึ่งบรรยากาศค่อยคลายความเศร้าลง
กลายเป็นภาพที่ทุกคนช่วยกันซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และดูบาดแผลของครูสินีนาฏ ครูสินีนาฏเล่าว่าตนเองโชคดีกว่า
ตนถูกฝาดโดยไม่รู้ตัว ทำให้ล้มและศีรษะเข้าไปอยู่ที่ใต้เตียง
จึงถูกรุมกระทืบและทำร้ายร่างกายเฉพาะส่วนที่โผล่
แม่ถามว่าลูกได้ต่อสู้หรือทำร้ายฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ ครูสินีนาฏเล่าว่า
ครูจูหลิงได้แต่ยกมือปกป้องตัวเอง
จึงน่าจะเป็นสาเหตุทำให้มือหักด้วย
แม่จึงพูดว่าถ้าครูจูหลิงล้มและศีรษะเข้าไปอยู่ที่ใต้เตียงด้วย
ลูกก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ช่วงระหว่างที่ครูสินีนาฏ พูดคุยกับคุณพ่อ คุณแม่
ของครูจูหลิง
คาดว่าอีกสักพักหนึ่งก็คงจะให้ครูสินีนาฏได้เข้าเยี่ยมครูจูหลิง
ตัวเองจึงออกมาเพื่อสังเกต BP และ Pulse ที่เครื่อง Monitor
เพื่อเปรียบเทียบว่า ถ้าครูสินินาฏเข้าพบแล้ว Vital
Signs
ดังกล่าวจะเปลี่ยนหรือไม่
พบว่าระหว่างที่ครูสินีนาฏยังไม่ได้เยี่ยม BP อยู่ระหว่าง 80/60 – 100/80
และชีพจรประมาณ 120 ครั้งต่อนาที
เมื่อครูสินินาฏ
คุณพ่อและคุณแม่ของครูจูหลิงเข้าพบ
BP ของครูจูหลิง เปลี่ยนเป็น110/85-130/95 ชีพจร ระหว่าง 144-145
ครั้งต่อนาที
ตลอดเวลาที่ผู้เยี่ยมดังกล่าวอยู่กับครู
ตัวเอง ได้ตั้งคำถามขึ้นในใจว่า
เมื่อวานช่วงที่แม่ชีศันสนีย์ มาพบครูจูหลิง BP
จากสูงจะค่อย ๆ ลดลง แต่วันนี้เมื่อคุณครูสินินาฏ คุณพ่อ
และคุณแม่ พบครูจูหลิง ความดัน/ชีพจรกลับค่อย ๆ สูงขึ้น
จึงย้อนนึกถึงภาพความแตกต่างของบรรยากาศที่เข้าเยี่ยม
แม่ชีศันสนีย์ เข้าพบคนเดียว
ใช้มือสัมผัสอย่างนุ่มนวล และค่อย ๆ พูดให้กำลังใจ
พร้อมทั้งบอกให้ครูจูหลิงทำใจให้สบาย
ไม่ต้องห่วงหรือกังวล สังคมคอยช่วยเหลือ คุณพ่อ
คุณแม่
และให้ครูจูหลิงภูมิใจที่ได้เป็นครูของแผ่นดิน
แต่ภาพวันนี้ เมื่อครูสินินาฏ คุณพ่อ
คุณแม่ เข้าพบครูจูหลิง
เป็นภาพที่ทุกคนร้องไห้ปล่อยโฮ ด้วยความกดดัน
แม่บอกลูกให้ทราบว่า “ครูไก่มาเยี่ยมลูกแล้ว”
ส่วนคุณครูสินินาฏ ก็ร้องไห้
เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนที่อยู่กินมาด้วยกัน
ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
สภาพของผู้เยี่ยมทั้ง 2 วัน อยู่ในสภาพที่แตกต่างกัน
บรรยากาศจึงต่างกัน น่าจะเป็นไปได้ที่ทำให้ Vital Signs
ของครูจึงแตกต่างไปด้วย นี่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
(เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน) จนกว่าเราจะสังเกตซ้ำบ่อยๆ
และในผู้ป่วยหลายรายจึงจะได้คำตอบที่แท้จริง
ตัวเองได้ขอคุยกับพยาบาลที่อยู่ในเวรเช้า เล่าถึงสภาพแวดล้อม
และค่าของ Vital Signs ที่แตกต่างกันทั้ง 2
วันให้น้องพยาบาลฟัง
พร้อมเสนอน้องว่าขอช่วยส่งเวรระหว่างพยาบาลด้วยกัน เพื่อเล่าต่อ
ๆ กันถึงสิ่งที่พี่จุดเล่าให้น้องฟัง
และขอให้น้องทุกคนที่ดูแลช่วยสังเกตและประเมินอาการของผู้ป่วยตลอดเวลาด้วย
ว่ายามปกติที่ไม่มีใครมาเยี่ยมกับเวลาที่มีคนมาเยี่ยม
สภาพของ
vital signs
แตกต่างกันหรือไม่ /
แตกต่างกันอย่างไร
เพื่อจะช่วยให้พยาบาลมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันได้บอกน้องว่า อย่ามัวดูแลพยาบาลเฉพาะร่างกายจนลืมดูแล
ห่วงใยอาทร ถึงสภาพจิตใจผู้ป่วยด้วย
น้องควรได้เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ป่วย ญาติ หรือผู้มาเยี่ยม
ด้วยการเป็นคนกลางในการสื่อสาร
และยามที่ว่างเว้นจากหัตถการ/กิจกรรมต่างๆ ในแต่ละเวร
ควรได้เปิดเพลงบรรเลงคลอเบาๆให้ผู้ป่วยได้ฟังด้วย
ขอบคุณ"พี่จุด"มากคะ...ที่ไม่ลืมเน้นย้ำ...เรื่องการดูแลจิตใจ
จิตเป็นนาย-กายเป็นบ่าว
เชื่อในพลังใจ...พลังแห่งรัก
พลังเชิงบวก...
ขอเป็นกำลังใจให้ "ครูจุ้ย"....
และ...ทีมดูแล...พักผ่อนให้เพียง
เพราะพลังสัมผัสจากท่านๆ...ทีมผู้ดูแล
มีผลสำคัญอย่างมากต่อ...ครู
เชื่อว่าครูจูหลิงรับรู้ถึงความรู้ และสัมผัสได้
เอาใจช่วยพี่ๆพยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลครู ให้ครูรับรู้แต่สิ่งที่ดีๆ ไม่รู้สึกห่วงอะไร เพื่ออาการที่ดีขึ้นครับ
ขอเป็นกำลังใจให้คนรอบข้างของครูจูหลิงนะคะ โดยเฉพาะคุณแม่ เป็นคนที่เข้มแข็งมาก ๆ เชื่อได้ว่า ครูจูหลิง คงสัมผัสได้ถึงความรัก และความเข้มแข็งนี้ ตัวเองทำงานอยู่ในมอ. แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเลย แต่ก็ส่งกำลังใจให้ตลอด เข้าใจความรู้สึกของหัวอกคนเป็นแม่ค่ะ เสียใจแค่ไหน แต่ก็ต้องเข้มแข็ง ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น วันนี้ เดินทางมาประชุมที่ กทม. นั่งคุยกับคนขับแท๊กซี่ พอรู้ว่าเราทำงานในมอ. เขาก็ฝากความห่วงใยมาให้ครูจูหลิง ด้วยนะคะ อยากให้ครูได้รับรู้ ว่า อยากให้ครูเข้มแข็ง มีเด็ก ๆ หลายคน ที่รอแม่พิมพ์ของชาติคนนี้ รีบฟื้นเร็ว ๆ นะคะ
ขอบคุณพี่จุดเป็นอย่างมากที่คอยส่งข่าวเล่าเรื่องได้อย่างลึกซึ้งละเอียดอ่อน นอกจากทำให้เราได้ทราบข่าวคราวของคนที่พวกเราทุกคนห่วงใยแล้ว ก็ยังทำให้เราได้คิดด้วยว่า หากเราได้ไปเยี่ยมผู้ป่วย เราจะต้องปรับตัวปรับใจอย่างไร เพื่อให้เราได้มีส่วนช่วยผู้ป่วย
จะคอยอ่านข่าวต่อๆไปค่ะ พร้อมๆกับส่งกำลังใจไปให้คุณครูจุ้ย คุณแม่คุณพ่อ และผู้ดูแลทุกท่าน ให้เข้มแข็งและเชื่อมั่นว่าเราทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้วทุกขณะจิต
ขอบคุณครับก้องที่ให้กำลังใจ
ช่วงนี้การให้ข่าวของคุณครูจูหลิงจะเงียบๆลง แต่การดูแลรักษายังคงเต็มที่ ในด้านอาการทุกคนหาอ่านได้ในเว็บไซด์คณะแพทย์ มอ. ในด้านการดูแลพยาบาล เราดูแลทั้งร่างกายและจิตวิญญาณเสมือนหนึ่งคนปกติที่รับรู้ทุกอย่าง ถึงวันนี้ไม่มีอาการติดเชื้อ ไม่มีแผลกดทับ คุณพ่อคุณแม่ยังคอยดูแลเฝ้าอาการ มีการทยอยส่งของที่ประชาชน นักเรียน ส่งมาให้เป็นกำลังใจ กลับบ้านของพ่อแม่ที่เชียงราย น่าชื่นชมบริษัท รสพ ที่เมื่อได้รับการติดต่อเพื่อส่งของกลับบ้านครูจูหลิง ทางบริษัทส่งพนักงานมาทันที และไม่คิดค่าขนส่ง นี่แหละน้ำใจของคนไทยที่มีอยู่ในทุกคน