ไพรินทร์ สมบัติ,RN,APNs
ท่ามกลางกลิ่นควันธูป เสียงสวดพระอภิธรรมของพระสงฆ์ ทำให้ฉันหวลนึกถึง เช้าวันหนึ่งที่ยุ่งเหยิงของฉัน...ณ ช่วงเวลาที่กิจการงานรุมเร้า รัดตัวไม่น้อย ด้วยบทบาทหน้าที่ของพยาบาลในโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ ที่มีทั้งงานตรวจเอกสารทางวิชาการของน้องพยาบาลที่จัดทำขึ้นประกอบการขอเลื่อนระดับ ซึ่งต้องรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์ ก็อีกไม่กี่วันนี้แล้ว...อีกทั้งการบ้านจากงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เข้าร่วมรับการอบรมอยู่...“ถ้างานที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้านไม่แล้วเสร็จ จะไม่ได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมอบรม phase ต่อไป”(อาจารย์ดุมากและเข้มงวดน่าดู)...และยิ่งไปกว่านั้น งานประเมินตนเองของโรงพยาบาลตามมาตรฐานเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ซึ่งตนเองร่วมรับผิดชอบอยู่ ก็ต้องรีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน...
“น้องๆ... พี่จะชวนน้องไปเยี่ยมคนไข้คนหนึ่งที่บ้าน น้องพอจะว่างไหม...” พี่หัวหน้าพยาบาลเดินมาหาที่โต๊ะทำงาน(ซึ่งเต็มไปด้วยเอกสาร)และเอ่ยขึ้น!
แว๊บ!แรกที่คิด แต่ไม่ทันได้พูดออกไป เหมือนมีอะไรดลใจทำให้ไม่พูดออกไปว่า “ไม่ได้หรอกพี่ หนูมีนัดประชุมบ่ายนี้ และเช้านี้ก็จะรีบตรวจ อวช.(เอกสารทางวิชาการ)น้องด้วย น้องจะรีบส่ง สสจ. ไม่งั้นไม่ทันตามกำหนด”...แต่กลับตกปากรับคำพี่หัวหน้าพยาบาลไปว่าจะออกไปด้วย...เพื่อไปเยี่ยมบ้านหญิงชรา ที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน ญาติบอกว่าเป็นโรคชรา ขณะนี้มีไข้ ซึมลง และไม่รับประทานอะไรเลยมาเป็นสัปดาห์แล้ว!
“พวกเรา” ประกอบไปด้วยพี่หัวหน้าพยาบาล และตนเองซึ่งปวารนาตนป็นผู้ประสานงานการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล พร้อมด้วยพี่น้อย พนักงานขับรถที่มีจิตบริการและมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมของเรา ก็เดินทางด้วยรถของโรงพยาบาล เพื่อออกไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกล... ประมาณ 2 กิโลเมตร (อยู่ใกล้กับบ้านของพี่หัวหน้าพยาบาล)
“ยายบัวจันทร์” หญิงชรา ตัวผอม สูง ผิวแห้งบางเหมือนดังจะหลุดลอกได้ นอนนิ่งอยู่บนแหย่ง(เตียง) ชั้นล่างของบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ที่ร่มรื่น ...บุตรสาว บุตรเขย ซึ่งเพิ่งมาจากต่างจังหวัด และผู้ดูแลหญิงวัยกลางคน ที่จ้างมาเพื่อการดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะ รอคอยพวกเราอยู่...
“ยายจั๋น ยายจั๋นเจ้า แม่เลี้ยงมาแอ่วหาเน้อ...เป๋นจะไดพ่อง..” ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงการขยับศีรษะเล็กน้อยเหมือนจะรับทราบถึงการมาของพวกเรา...ยายบัวจันทร์...เป็นผู้ป่วยเบาหวาน ที่เคยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ไม่เคยได้รับยาฉีดอินซูลิน...ด้วยความชราภาพมากแล้ว ในระยะหลังประมาณ 1 ปีมานี้ ยายต้องพึ่งพารถเข็นนั่งและผู้ดูแลซึ่งจ้างมาเพื่อการดูแลที่บ้านโดยเฉพาะควบคู่ไปกับลูกสาวคนโตของคุณยายซึ่งมีอายุย่างเข้า 70 ปีแล้ว...ลำพังคุณยายเอง ไม่สามารถที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองได้ แต่ยังพอพูดคุยรู้เรื่อง รับอาหารที่ผู้ดูแลป้อนให้ได้ดี
ประมาณ 2 สัปดาห์มานี้ คุณยายเริ่มซึมลง ไม่ค่อยพูดคุย เบื่ออาหาร เอาแต่นอน...หลานสาวซึ่งเป็นข้าราชการครู สอนอยู่โรงเรียนใกล้บ้าน จะแวะเวียนมาดูแลคุณยายในตอนพักเที่ยงของทุกวัน ญาติเล่าให้เราฟังว่า แรกๆก็เป็นกังวลไม่รู้จะดูแลอย่างไร แต่ก็ไม่อยากพาผู้ป่วยมารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพราะคิดว่าคุณยายชราภาพมากแล้ว ถ้ามาโรงพยาบาลเกรงว่าจะได้รับการสอดใส่สายต่างๆเข้าร่างกาย เหมือนที่เคยพบเห็นตามหอผู้ป่วยหนัก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณยายและญาติๆ ปรารถนา (ยายจันทร์เคยสั่งลูกไว้เมื่อครั้งที่ยังรู้สึกตัวดีอยู่) ทางครอบครัวได้ให้การดูแลประคับประคองอาการด้วยตนเองที่บ้าน ตัวร้อนก็ป้อนยาแก้ไข้ ป้อนอาหาร ป้อนน้ำ แต่อาการของยายก็ไม่ดีขึ้น ไม่รับยาแก้ไข้ที่ผู้ดูแลบดผสมน้ำให้ ไม่กลืนน้ำที่ญาติป้อน แขนขาเริ่มติดเกร็ง จนญาติไม่กล้าพลิกตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะกลัวผู้ป่วยเจ็บ ในวันที่เราไปเยี่ยมนั้น ผู้ป่วยไม่ได้รับการเปลี่ยนเสื้อผ้ามา 3 วันแล้ว...เมื่อเข้าดูแลใกล้ชิด ได้กลิ่นอับเหงื่อโชยมา และที่ตาตุ่มเท้าขวา ก็เริ่มเป็นแผลกดทับ
หลานสาวของคุณยาย(ที่เป็นครู) บอกว่า หลังจากดูแลคุณยายที่บ้านมาได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มเกิดความสงสัย ไม่มั่นใจในตนเอง ว่าที่ตัดสินใจไม่พาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้น ถูกต้องหรือไม่! กลัวเพื่อนบ้านพาลจะว่าและตำหนิเอา ไม่สบายใจ เป็นกังวล “...เจ๊ากึดนัก จนนอนบ่หลับ(คิดมากจนนอนไม่หลับ)...” จนในที่สุดจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือมาทางโรงพยาบาล เพื่อขอให้จัดทีมแพทย์ออกไปตรวจรักษาให้ที่บ้าน...ณ ที่บ้านของผู้ป่วยวันนั้น เราได้รับรู้ว่า การให้ข้อมูลและการบอกกล่าวเรื่องราวเพื่อเสริมพลัง สนับสนุนให้ครอบครัวสามารถดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้านนั้นเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย เราได้อธิบายให้ญาติรับรู้ว่าอาการไข้ต่ำๆนั้นเกิดขึ้นได้จากการเสื่อมถอย เปรียบเสมือนการย่อยสลายตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย และการที่ผู้ป่วยไม่ได้รับประทานอาหารนั้นก็ไม่ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะในที่สุดแล้ว(ระยะสุดท้ายของชีวิต)อาหารที่ให้เข้าไปในร่างกาย ก็แทบจะไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้อยู่ดี การให้น้ำเกลือก็ไม่ได้เป็นประโยชน์มากมายเมื่อเทียบกับความสุขสบายกายที่ผู้ป่วยสูญเสียไปจากการถูกสอดใส่สายน้ำเกลือ และต้องถูกนำมารับการรักษาที่โรงพยาบาล
ผู้ดูแลและครอบครัว ดูเหมือนจะมีความมั่นใจมากขึ้น เราได้บอกเล่าแนวคิดในการดูแลแบบองค์รวมในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ให้ความสำคัญกับการดูแลทุกมิติ ทั้งด้านการควบคุมอาการรบกวนทางกาย ได้ให้การดูแลสุขอนามัยเบื้องต้น...เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับผู้ป่วย...บอกเล่าถึงการดูแลด้านจิตใจสำหรับผู้ป่วย ที่ถึงแม้ว่าจะพูดคุยอะไรไม่ได้แล้วเราก็เชื่อว่าผู้ป่วยจะยังได้ยินและรับรู้เรื่องราวที่เรากระทำให้ได้ นอกเหนือไปจากนั้น ความต้องการทางด้านจิตวิญญาณของผู้ป่วยล่ะ ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับชีวิตและความตายที่กำลังคุกคามอยู่ ได้รับการตอบสนองตามความต้องการความเชื่อและศรัทธาเหล่านั้นหรือยัง เราเตรียมผู้ดูแลและครอบครัวให้ทราบถึงสภาพอาการของผู้ป่วยที่จะเกิดขึ้นได้ในภาวะใกล้ตาย สร้างความมั่นใจที่จะดูแลในประเด็นต่างๆดังกล่าว และท้ายที่สุด ไม่ลืม ที่จะให้เบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อขอคำปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เราใช้เวลากับการเยี่ยมบ้านครั้งนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง...ก่อนที่จะขอลากลับมาพร้อมกับรอยยิ้มและคำขอบคุณ ความพึงพอใจของญาติผู้ป่วย...
วันรุ่งขึ้น “น้องๆ ยายจันทร์ ที่เราไปเยี่ยมบ้านเมื่อวาน เสีย(ตาย)แล้วนะ...” เสียงพี่หัวหน้าพยาบาลที่ทำงานอยู่ในห้องเดียวกันดังขึ้น..เราใจหายแว๊บ!“ดีนะที่ไม่ได้ปฏิเสธการเยี่ยมบ้านเมื่อวาน..” พี่หัวหน้าพยาบาลเล่าให้ฟังว่า...ประมาณ ตี 3 คุณยายเริ่มมีอาการเหมือนกับที่เราเล่าให้ฟังในตอนกลางวัน อย่างไม่มีผิดเพี้ยน...มีเสียงเสมหะในคอ การหายใจเริ่มติดขัด หายใจเร็วขึ้นแล้วเริ่มแผ่วลงและหยุดพักไปเป็นช่วงๆ ญาติได้โทรศัพท์มาปรึกษาเพื่อขอความมั่นใจในการตัดสินใจ...และแล้วเมื่อเวลาประมาณ 7 โมงเช้า...คุณยายจันทร์ ก็ละสังขารธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้คืนสู่ธรรมชาติ... จากโลกนี้ไปอย่างสงบ
“...หรือคุณยายจะรับรู้ว่า ลูกหลานได้เข้าใจในความต้องการ และปลดปล่อยความห่วงกังวลของคุณยาย ไม่ติดค้างอะไรแล้ว...”
ขอให้กุศลผลบุญ และคุณงามความดีที่คุณยายจันทร์และลูกหลานได้สั่งสมมา จงเป็นบุญหนุนนำให้ดวงวิญญาณของคุณยาย จงไปสู่ภพภูมิที่ดีที่คุณยายปรารถนาด้วยเทอญ...
เก็บตกจากพิธีการงานฌาปณิจกิจร่างของคุณยายจันทร์ “...ทางญาติและครอบครัวของคุณยายบัวจันทร์ รู้สึกซาบซึ้งและขอขอบพระคุณทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว เป็นอย่างสูงที่ได้มาเยี่ยม ให้การดูแลและให้คำแนะนำ ทำให้ทางครอบครัวมั่นใจว่า ได้ดูแลคุณยายจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว...ขอบคุณมากครับ”
ในบางครั้ง "เวลางาน" ของเรา เพียงไม่กี่ชั่วโมง กับ คำพูดคำแนะนำ ที่เราไม่ต้องได้ซื้อหา... กลับมีคุณค่า มากยิ่งกว่าที่เราจะคาดคิดได้...
เป็นเรื่องเล่า ที่ งดงามมากครับ
มาเรียนรู้ด้วยคนค่ะ ชื่นชมจากใจจริง
เพราะทำดี เราจึงเขียนได้ดีค่ะ
ดีใจจัง ที่ได้อ่านเรื่องดีๆ พี่อัมพร จากรพ.หนองม่วงไข่ ที่เราพบกันที่น่านเมื่อ 22ต.ค52
เกือบไปแล้ว โล่งอก