การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและครอบครัวนั้น ปัจจัยแห่งความสำเร็จอย่างหนึ่งที่ขาดเสียมิได้นั่นคือ "ใจ" ของผู้ให้บริการ เรื่องราวที่หลากหลายต่อไปนี้ เป็นอะไรที่แสดงให้เห็นถึงการบ่มเพาะ และการเจริญเติบโตทางด้านจิตใจของสมาชิกทีมการดูแลแบบประคับประคอง(Palliative Care Team) ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว เชิญสัมผัสเรื่องเล่าของพวกเรา ด้วยกันนะคะ
สุมาตรา อิ่นคำ,RN
ข้าพเจ้าเดิมทีคุ้นเคยกับการมาเป็นผู้รับบริการจากทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวตั้งแต่ยังตัวเล็กๆบ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นคนอำเภอปัวโดยกำเนิด ได้มีชีวิตรอดจากโรคร้ายในสมัยที่เครื่องมือทางการแพทย์ไม่พร้อมก็หลายครั้ง พูดง่ายๆว่าเป็นหนี้บุญคุณชีวิตกับโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ว่าได้ ตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยมัธยมคุณครูที่สอนวิชาสังคมมีคำถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร เพราะเหตุใด คำตอบที่อยู่ในใจตอนนั้นคืออยากเป็นคุณพยาบาล เพราะจะได้ช่วยชีวิตคนอื่นๆเหมือนที่ท่านได้ช่วยชีวิตหนู หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้สอบเอนทรานซ์เข้าได้ที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุตรดิตถ์ การเรียนพยาบาลของข้าพเจ้าราบเรียบมาตลอดจนปีที่ 3ของการเรียนข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลงจนเกือบเรียนต่อไม่ได้แต่ด้วยความช่วยเหลือของใครหลายๆคน ตั้งแต่ครอบครัวเพื่อนๆ พี่ๆ และครูอาจารย์หลายๆคนที่รักและเมตตาข้าพเจ้า ในที่สุดข้าพเจ้าก็เรียนจบได้
ได้ทำงานที่สถานีอนามัยปิงหลวงก่อนที่จะมาทำงานที่โรงพยาบาลนาหมื่น การทำงานที่สถานีอนามัยจะแตกต่างจากโรงพยาบาลคือมักไม่มีผู้รับบริการที่อยู่ในภาวะวิกฤตหรืออาการหนักสักเท่าไร กลับกันกับในโรงพยาบาลจะมีผู้ป่วยที่อาการหนักบางรายมานอนเพื่อรอวันจากโลกนี้ไปเพราะญาติอยากให้ผู้ป่วยเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ในตอนนั้นก็ได้ช่วยพวกเขาไป หลายครั้งทีเห็นผู้ป่วยจากไปอย่างทุกข์ทรมานกับการสอดใส่อุปกรณ์การแพทย์ รอบๆตัวมีแต่แพทย์และพยาบาล ...จากไปโดยไม่มีโอกาสร่ำลาญาติพี่น้องที่โดนกันออกไปเพราะกีดขวางการทำงาน เคยรู้สึกห่อเหี่ยวไปกับบรรยากาศนั้นโดยไม่รู้จะช่วยเหลือหรือมีคำปลอบโยนอย่างไร
เมื่อย้ายกลับมาอยู่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวอันเป็นถิ่นบ้านเกิดข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่าจะทำงานในที่แห่งนี้เป็นที่สุดท้ายในชีวิตราชการ แม้ไม่ได้รับการยอมรับจากหลายๆคนก็ตาม ข้าพเจ้าก็ไม่ท้อถอย หรือน้อยใจ คิดว่าให้เวลาเป็นบทพิสูจน์เถอะ ที่นี่ข้าพเจ้าได้ไปอบรมการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่วัดป่าคอวังก็ได้เริ่มเรียนรู้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่นับวันจำนวนผู้ป่วยประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ดูเหมือนความตายจะมาอยู่ใกล้ตัวเราทุกขณะแต่เราก็ยังเห็นและคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวอยู่นั่นเอง เราช่วยดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบตามหน้าที่อยู่ ไม่คิดเตรียมตัวว่าวันหนึ่งอาจเป็นตัวเราที่จะเหมือนพวกเขา จนได้เข้ารับการอบรมการเผชิญความตายอย่างสงบเมื่อวันที่ 28-30 พ.ย.51ที่ผ่านมา จึงเริ่มมองผู้ป่วยระยะสุดท้ายเปลี่ยนไป ใจอยากให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมตัวพบกับความตายอย่างสงบและสวยงาม อยากเห็นบรรยากาศการตายของพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นความต้องการของตัวเขาเอง ซึ่งขณะที่เราเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวตายเรายังมีความอยากให้ตัวเองตายโดยไม่ทุกข์ทรมานกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีญาติห้อมล้อมให้กำลังใจช่วยกระซิบเตือนข้างหูให้คิดถึงแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิต จนลมหายใจสุดท้ายหยุดลง แต่จะทำอย่างไรให้พยาบาลผู้ดูแลท่านอื่นคิดเหมือนเราบ้างเพราะการดูแลผู้ป่วยระยะนี้ ครั้งแรกอาจประสบกับเหตุการณ์ที่ญาติและผู้ป่วยไม่เข้าใจและทำใจไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าล้มเหลว แม้มีทีมผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีคุณไพรินทร์ เป็นตัวหลักและคุณอารีย์ หัวหน้าตึก เป็นผู้คอยให้คำแนะนำเป็นระยะๆ มันเหมือนกับเราได้เรียนรู้ตำราการเผชิญความตายใหม่ที่ไม่มีวันจบสิ้นและแตกต่างตามตัวผู้ป่วยแต่ละคนซึ่งไม่ซ้ำกัน
ในรายที่ข้าพเจ้าประทับใจเป็นเรื่องของเด็กหญิงอายุ 15 ปีป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ครอบครัวของน้องมีฐานะยากจน ทางโรงพยาบาลได้ให้ความช่วยเหลือคือให้ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การดูแลสุขอนามัยของน้องไม่สู้จะดีนัก ในที่สุดก็มีการติดเชื้อบริเวณเส้นเลือดที่ใช้ฟอกฯ เป็นเหตุให้อาการน้องทรุดหนักลง ขณะนั้นข้าพเจ้าได้รับเป็นพยาบาลเจ้าของไข้และเป็นผู้ประสานการดูแลแบบประคับประคอง ข้าพเจ้าเคยคุยกับน้องหลายครั้งในเรื่องความตาย น้องเองก็ยอมรับว่ากลัวตายเหมือนกันแต่หากถึงเวลาคงต้องทำใจยอมรับ วันนั้น น้องอาการทรุดหนักลงมีอาการหายใจหอบเหนื่อย บวมทั่วตัว ค่าของเสียก็มากขึ้น แต่ยังพูดคุยรู้เรื่อง เราจึงคุยในเรื่องนี้อีกครั้ง น้องถามคำถามที่คาใจตัวเค้ามาตลอดว่า “...ความตายน่ากลัวไหม เวลาตายจะทรมานหรือเปล่า หนูกลัว...” ข้าพเจ้าได้ปลอบใจว่า “…ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่คิด มันเหมือนหนูหลับตาจากที่นี่แล้วไปตื่นในอีกที่หนึ่งเท่านั้น หนูไม่ต้องกลัว ให้คิดถึงความดีที่หนูทำมาเอาไว้ ไม่ต้องอาลัยสังขารที่เป็นอยู่ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ทรมานจากโรคร้าย...” เย็นวันนั้น น้องก็มีอาการหอบมากขึ้น ญาติยังประสงค์ให้ทางโรงพยาบาลช่วยเต็มที่อยู่ จึงใส่ท่อช่วยหายใจและพาน้องไปส่งที่หอผู้ป่วยหนัก กลับมาบ้านวันนั้น ใจก็เป็นห่วงน้องอยู่ว่าจะเป็นยังไงบ้างหนอ
คืนนั้น มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าจำได้ ไม่รู้ลืม...นาฬิกาที่ติดข้างฝาผนังห้องนั่งเล่น บอกเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ...รู้สึกว่า มีลมเย็นพัดมารอบๆตัววูบหนึ่ง...ทั้งๆที่อยู่ในห้อง...ข้าพเจ้าขนลุกตั้งชันทั้งตัว ในใจคิดว่าน้องคงไปแล้วกระมัง! รุ่งเช้ามาทำงานที่ตึกก็ทราบข่าวว่าน้องเสียชีวิตแล้วจริงๆ ตอนประมาณ 2 ทุ่ม ...น้องคงไปดีแล้วล่ะ...ลาก่อน ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้น้องมีร่างกายที่แข็งแรง อายุยืนยาวนะ...
อิจฉาจังที่รพร ปัวมีกิจกรรมดีๆหลายๆอย่าง ทำให้พี่ท้องฟ้าได้มีโอกาสเรียนรุ้ วันก่อนคุยกับพี่อารีย์ พี่อารีย์บอกว่ากำลังเน้นเรื่องEnd of Life เพราะพี่แซวว่าสมัยเรียนต่อเนื่องที่ลำปาง พี่อารีย์ แต่งหน้าแต่งตา แต่ตอนนี้ ใบหน้าไม่ใส่สีสันแล้ว อ้อ เลยถึงบางอ้อ แต่พี่ท้องฟ้า ยังอยากแต้มสีสันอยู่จ้า