ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ดิฉัน นท.ภญ.ดารณี สายอุบล เป็นเภสัชกรน้องใหม่ของสถาบันธัญญารักษ์ ย้ายมาปฏิบัติงานได้ประมาณเดือนเศษ ดิฉันมีโอกาสได้ไปประชุมวิชาการเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจ เห็นควรนำมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อผู้ที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยหรือมีญาติป่วยเป็นเบาหวาน นำไปแนะนำแก่ผู้ป่วย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ไม่ยากในการปฏิบัติ ทั้งยังน่าจะทำให้ผู้ป่วยมีความสุขในชีวิตมากขึ้นได้
ส่วนใหญ่คนที่เป็นเบาหวานมักจะมีความกังวลว่า ตัวเองจะต้องอดกินอาหารที่ชอบ แต่ปัจจุบันไม่เป็นความจริงแล้ว เพียงแต่ต้องปรับเปลื่ยนพฤติกรรมในการกินเสียใหม่เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานต้องระวังอาหารที่มีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง จึงต้องควบคุมอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากที่สุด ดังนั้นจึงต้องรู้จักเลือกกินโดยใช้อาหารแลกเปลี่ยนในหมู่แป้งด้วยกัน เช่น ของหวานหรือขนมหวานที่ชอบ ในปริมาณเล็กน้อยใช้ทดแทนข้าวหรือแป้ง โดยลดปริมาณของแป้งในมื้อนั้นลง ทุกมื้อควรเพิ่มปริมาณผักและผลไม้ให้มากขึ้นแทนแป้ง ส่วนอาหารประเภทของโปรดที่มีปริมาณน้ำงตาลสูง เช่น ไอศรีม เค้ก คุ้กกี้ น้ำอัดลม กินได้ในปริมาณน้อยๆ สัปดาห์ละไม่เกิน 2-3 ครั้ง
อาหารประเภทแป้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ข้าวไม่ขัดสีซึ่งมีใยอาหารสูง เช่น ข้าวซ้อมมือขนมปังโฮลวีท ขนมปังธัญพืช อย่างน้อยปริมาณครึ่งหนึ่งของอาหารแป้งทั้งหมด
ผักต่างๆ
ควรกินให้ได้หลากหลายชนิด
มีสัดส่วนในรูปแบบอาหารแนะนำปริมาณผักใน 1
สัปดาห์ ดังนี้
-
ผักสีเขียวเข้ม
3 ถ้วย
-
ผักสีส้ม 2
ถ้วย
-
ถั่วต่างๆ
3 ถ้วย
- ผักที่มีแป้งมาก (Starchy ) เช่น
ลูกเดือย ฝักทอง เผือก มัน
ซึ่งใช้ทดแทนข้าวได้
3 ถ้วย
- ผักอื่นๆ
6.5 ถ้วย
ปริมาณผักรวมทั้งหมด
17.5 ถ้วย ต่อ 1 สัปดาห์ (
คนที่ชอบทานแกงส้มมากจะได้ปริมาณนี้อยู่แล้ว)
เนื้อสัตว์ และไขมัน เลือกประเภทไขมันต่ำ จำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ ไม่เกิน 6 ช้อนโต๊ะ หรือ 90 กรัม ใน 1 วัน
ผลไม้ เลือกที่มีรสหวานน้อย หรือส้มขนาดลูกใหญ่มื้อละ 1 ผล
การเลือกอาหารอย่างมีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรคำนึงถึงการรับประทานอาหารให้หลากหลายในแต่ละวัน โดยที่มีผัก ผลไม้ และแป้งในสัดส่วน เท่าๆกันอย่างน้อย 1 ส่วนหรือลดปริมาณแป้งเพิ่มปริมาณผักแทน นมและเนื้อสัตว์เลือกที่มีไขมันต่ำ ส่วนของชอบที่เป็นของหวานให้ใช้ในส่วนทดแทนในปริมาณน้อยๆ และลดอาหารแป้งลง ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือการออกกำลังกายให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้นเป็นประจำ เท่านี้ก็จะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพและมีความสุขมากขึ้นได้