คำว่า “พระพุทธศาสนา” มาจากคำว่า “พุทธ” แปลว่า “การตื่นจากกิเลสนิทรา” เพราะฉะนั้น คำว่า “พระพุทธศาสนา” ก็คือ “ปรัชญาแห่งการตื่นจากกิเลสนิทรา” ปรัชญานี้เกิดจากการตรัสรู้สัจธรรมของ “เจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ” ซึ่งผลจากการตรัสรู้นี่เอง ทำให้เจ้าชายได้รับการขนานนามว่า “พระพุทธเจ้า” สิทธัตถะ โคตรมะ ตรัสรู้สัจธรรมเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ปัจจุบันนี้พระพุทธศาสนามีอายุ 2597 ปีแล้ว (2552 + 45 ปี) มีศาสนิกชนประมาณ 311 ล้านคน เมื่อหลายศตวรรษล่วงมาแล้ว พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาของประชาชนส่วนใหญ่ในเอเชีย แต่ในปัจจุบันประชาชนในทวีปยุโรปและอเมริกา กำลังกลับใจมานับถือพระพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้นๆ ตามลำดับ
พระพุทธศาสนาเป็นอุตมปรัชญา
คำว่า Philosophy มาจากคำ 2 คำ คือ คำว่า Philo แปลว่า “ความรัก” และ คำว่า Sophia แปลว่า “ปัญญา” ดังนั้น คำว่า Philosophy จึงแปลว่า “ความรักปัญญา” ความหมายทั้งสองนี้เป็นคำอธิบายของคำว่า “พระพุทธศาสนา” อย่างสมบูรณ์
พระพุทธศาสนาสอนว่า เราควรพยายามพัฒนาสมรรถนะทางจิตของเราให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อว่าเราจะได้สามารถเข้าใจสรรพสิ่งอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ พระพุทธศาสนายังสอนให้พัฒนา “ความรัก” และ “ความเมตตา” เพื่อว่าจะได้เป็นมิตรที่แท้จริงของสรรพสัตว์ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นปรัชญา แต่มิใช่เป็นปรัชญาสามัญ หากแต่เป็น “อุตมปรัชญา” (The Supreme Philosophy)
สรุปลักษณะพื้นฐานของพระพุทธศาสนา
1. เป็นอเทวนิยม
2. เป็นศาสนาแห่งการพัฒนาจริยศาสตร์
3. เป็นศาสนาแห่งกรรมนิยม
4. เป็นศาสนาแห่งมัชฌิมาปฏิปทา
5. เป็นศาสนาแห่งการพึ่งตนเอง
6. เป็นศาสนาที่เชื่อในเรื่องสังสารวัฏ
7. เป็นศาสนาที่มีจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ นิพพาน
ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา
1. สอนเรื่องเหตุและผล
2. เป็นตัวอย่างการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
3. ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนโดยสอนให้เลิกระบบทาสภายในและภายนอก
4. เป็นศาสนาแรกที่สอนไม่ให้แบ่งชนชั้นวรรณะ แต่..ให้อยู่ด้วยกันที่ศีลธรรม
5. เป็นศาสนาที่สอนปฏิบัติเรื่องการทำบุญ โดยไม่ใช้วิธีฆ่าสัตว์หรือฆ่ามนุษย์บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
6. เป็นศาสนาที่สอนให้ลดตัดตรงเข้าหาความจริงให้กล้าสูหน้ากับความจริง
7. สอนให้แก้ความชั้วด้วยความดี และสอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน
8. เป็นศาสนาที่สอนให้ถือธรรม คือ ความถูกต้องที่เรียกว่า ธรรมาธิปไตย
9. เป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์
ไม่มีความเห็น