เมื่อวานนี้ (27 ก.ย. 2552) กลับบ้านไปที่อุบล ได้ไปค้นเอกสารเก่า ว่าจะจัดทิ้งไปบ้าง แล้วไปเจอเอกสารที่มีตีพิมพ์แจกเยอะๆ แล้วเก็บไว้ เผื่อเอามาอ่านประดับความรู้ เพิ่มรอยหยักในสมองบ้าง แล้วก็เจอเยอะแยะ ที่ยังไม่กล้าทิ้ง เลยเอามาพิมพ์ให้อ่านแจกจ่ายกันให้ทั่วถึงไว้ เพราะกระดาษก็มีวันเสื่อมได้เหมือนกัน แต่ความคิดมนุษย์สามารถถ่ายทอดกันได้ ฉบับแรกนี้เป็นเรื่องเกี่ยวสุภาษิต ข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิต
สุภาษิตไทยโบราณ ยังคงขลังและศักดิ์สิทธิ์เสมอมา ชีวิตที่ผิดพลาดเพราะการกระทำนั้น ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่อง "วจีกรรม"
ศีลข้อ ๔ กล่าวถึงมุสาวาทา คือ การไม่พูดโกหก แต่ยังแบ่งซอยออกเป็น ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดให้เขาแตกแยก
เส้นทางชีวิต หากตะบึงวิ่งผ่าน เราจะไม่เห็นอะไรแจ่มชัด ลองช้าลง หยุดคิดพิจารณาตามดูตัวเองทุกฝีก้าว เราจะพบจุดบกพร่องมากมายน่าแก้ไข
"พูดแล้วได้อะไร หมั่นเตือนสติ เตือนตัวเองเสมอๆ เพื่อชีวิตจะได้ไม่ผิดพลาด เพื่อชีวิตจะได้ไม่ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำ ทำให้ผู้อื่นเสียใจ"
"นี่เธอ อย่าบอกใครนะ ยายแดงเพื่อนเราที่แต่งงานไปเมื่อปีก่อนเมื่อวานฉันเห็รควงกับหนุ่มรูปหล่อ"
"ขยันแทบตายไม่เคยได้ ๒ ขั้น เลิกทำๆ"
"ไอ้แดงทำเดี๋ยวนี้นะ ไม่ทำเดี๋ยวตบชัก (พูดกับลูก)"
"พ่อให้อะไรหนูบ้าง ดูบ้านโน้นซิ พ่อเขาใจดีจะตาย"
"เรียนได้เกรดขนาดนี้ ไปตายซะดีกว่า"
"พูดแล้วได้อะไร" เหมือนท่องนโมเตือนสติก่อนสาย
"พูดแล้วได้อะไร" ถามตัวเองทุกครั้ง มีเจตนาอย่างไรจึงได้พูดประโยคนี้ หวังดีกับลูก หวังดีกับคนรัก แต่เพราะขาดสติ สิ่งที่บอกกล่าว จึงกลับกลายเป็นคำบ่นน่าเบื่อหน่าย
"พูดแล้วได้อะไร" พูดแล้ว หยุดเขาไม่ได้ พูดแล้วรับรองไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราหยุดพูดดีกว่า พูดน้อย ไม่พูดบ่อย แต่นานๆ พูดที ครอบครัวก็จะสงบสุข ไม่ปั่นป่วนด้วยมรสุมปาก
สวัสดีครับ
ผมก็เคยเห็นต้นไม้พูด... "อยู่คนเดียวระวังจิต อยู่ร่วมมิตรระวังปาก"
สวัสดีครับ คุณเอกชน
เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอนครับ เพราะจิต กับ ปาก บางครั้งไม่จำเป็นต้องไปด้วยกันก็ได้ แต่การระมัดระวังนั้น ผมคิดว่าเป็นการให้เราต้องหัดคิดก่อนที่จะพูดอะไรออกมาก่อนเสมอ