ความแตกต่างนี่แหละ..เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกแยก..ความแตกต่างของเพศก็ทำให้เกิดแตกแยกเป็นเพศชายเพศหญิง..ความแตกต่างของอายุก็ทำให้เกิดแตกแยกเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่..ความแตกต่างของฐานะก็ทำให้เกิดความแตกแยกเป็นคนจนคนรวย..และโดยเฉพาะความแตกต่างทางความคิดและผลประโยชน์ที่ทำให้เกิดความแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย..ฝ่ายนั้นบ้าง..ฝ่ายนี้บ้าง..ดังเห็นในปัจจุบัน
ความแตกต่างทางด้านอื่น ๆ ก็ไม่สำคัญมากเท่ากับความแตกต่างทางด้านความคิด.. เพราะความคิดหรือใจนี้แหล่ะเป็นใหญ่ เป็นผู้นำ ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จได้เพราะใจ คนเราจะพูดจะทำอะไรก็ทำได้เพราะความคิดหรือใจของตนเป็นผู้ออกคำสั่ง ซึ่งคงจะเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” เมื่อคนเรามีความคิดต่างกัน ก็ย่อมทำให้เกิดพฤติกรรมต่างกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูด การกระทำ ก็ย่อมเกิดความขัดแยงกันไปตามฝ่ายของตนทีเดียว..
ในสมัยพุทธกาลก็เกิดความแตกแยกแห่งสงฆ์ขึ้นเหมือนกัน..ดังที่โยมคงเคยทราบกันว่า..ครั้งหนึ่งพระสงฆ์ที่อยู่เมืองโกสัมพีได้เกิดความแตกแยกกันขึ้นเป็นสองฝ่าย ระหว่างพระวินัยธรกับพระธรรมกถึกหรือพระนักเทศน์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีลูกศิษย์มากและทะเลาะกัน เพราะเหตุแค่ความคิดเห็นในเรื่องพระธรรมวินัยที่ไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นเหตุผลในการปรับอาบัติแค่เล็กน้อยเท่านั้นก็ทะเลาะกันใหญ่โต จนกระทั้งพระพุทธองค์เสด็จไปเตือนให้เลิกทะเลาะกัน แต่พระทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เลิกรา พระองค์จึงเสด็จปลีกวิเวกในป่ารักขิตวัน ให้ช้างปาลิไลยกะและลิงอุปัฏฐากดูแล
เมื่อชาวเมืองโกสัมพีเห็นว่า พระทั้งสองฝ่ายนี้เป็นมูลเหตุให้พระพุทธองค์ต้องปลีกวิเวกจึงได้หันหน้าเข้าหากันแล้วลงฉันทามติคว่ำบาตรคือไม่ถวายอาหารให้กับพระทั้งสองฝ่ายนี้ ในที่สุดพระทั้งสองกลุ่มนี้ก็สำนึกผิด ไปขอขมาพระพุทธเจ้า และกลับไปคืนดีกันเหมือนเดิม
อาตมาเห็นว่า สังคมไทยเราในทุกวันนี้เริ่มจะเป็นเหมือนกับในสมัยพุทธกาลที่เกิดความแตกแยกของสงฆ์เมืองโกสัมพีเข้าทุกที คือ เป็นความแตกแยกของสังคมทั้งของโยมเองหรือมีพระด้วย เพราะเหตุเพียงเล็กน้อยเหมือนกัน คือ ถือทิฏฐิหรือมีอุปทานยึดมั่นถือมั่นในอำนาจ..ในประโยชน์ตน..ดังหลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้.. “เพราะเรายึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู..ของกู..นี่เองจะทำให้เราเป็นทุกข์”..ซึ่งเหตุการณ์ตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครห้ามได้แล้วมั่ง นอกจากทุก ๆ คนจะห้ามด้วยตนเอง คือ ห้ามไม่มีความคิดที่จะแตกแยก ถึงแม้จะมีความเห็นแตกต่างกันบ้างในเรื่อง แต่ความเห็นนั้นก็ควรนำมาพิจารณาร่วมกัน มาคุยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างมีธรรมะในใจ
อาตมขออัญเชิญพระราชดำรัสของในหลวงที่พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ของความแตกแยกเหมือนกันในขณะนั้น..ซึ่งอาจจะเตือนสติให้ท่านทั้งหลายได้บ้าง
"ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วจะแก้ปัญหาอะไรเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ มีแต่แพ้ คือ ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนที่แพ้ จะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหายประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง"
ถึงเวลาหรือยัง?..ที่คุณโยมทั้งหลายที่มีความเห็นต่างกันไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ดี จะละลดเลิกความยึดมั่นถือมั่น ละความเห็นที่แตกต่าง หันมาคุยกันอย่างมีเหตุผล หันมาสามัคคีกันเหมือนกันเดิม มีเมตตาต่อกันและกัน เพื่อที่สังคมไทยของเราจะกลับมาอยู่เย็นเป็นสุขเหมือนก่อนให้ชาวต่างชาติได้พากันสรรเสริญว่า..เมืองไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม (Land of smile) อีกครา..นะโยม ขอเจริญพร..
นมัสการค่ะ
เราต้องยอมรับข้อแตกต่างของกันและกันนะคะ อยากเห็นคนไทยรักกันค่ะ...