คุณเคยคิดท้อถอยกับชีวิตจนไม่อยากจะเดินต่อไหม?
ตอนนั้นคุณคิดใช้ไหม ว่าคุณเหมือนกับอยู่ตัวคนเดียว คุณรู้สึกแย่ คุณทุกข์ คุณไม่รู้ว่าคุณควรจะทำอะไรต่อไป และทำไมโลกนี้ช่างใจร้ายกับคุณนัก?
คุณไม่ใช่คนที่ทุกข์คนเดียว ไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุด
โลกหมุนไปด้วยความเร็วเท่าเดิม เวลาในแต่ละวันยังคงเท่าเดิม ชีวิตก็ยังต้องดำเนินไป แต่คุณรู้ไหม?
มีคนๆหนึ่ง ที่โลกของเขาดูจะหมุนได้ช้าลงๆ จนหยุดหมุนในที่สุด
แต่ตัวเขาละ เขายังคงเดินต่อ อดทนต่อ ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงเวลาของเขาก็จะหมดลง...
ในไม่ช้า... จริงๆ...
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่อง One litre of tears หรือ บันทึกน้ำตาหนึ่งลิตรซึ่งนำมาฉายทางช่อง ThaiPBS ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้าแนะนำให้ข้าพเจ้าดู โดยบอกว่าเศร้ามากๆ ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่าหนังรักแน่นอน
แต่เมื่อได้ลองชมแล้ว ใช่มันคือหนังรัก...
แต่เป็นหนังที่รักชีวิต รักครอบครัว รักเพื่อน ถ่ายทอดเป็นเรื่องราวของอายะ อิเคอุจิ
เรื่องย่อ จาก movie.sanook.com
ละครเรื่อง บันทึกน้ำตา 1 ลิตร ( 1 Litre of Tears ) สร้างขึ้นมาจาก ไดอารี่ 1 Litre of Tears ที่ คิโตะ อายะ เด็กผู้หญิงที่ต่อสู้กับโรคร้ายมาตลอดได้บันทึกไว้ เป็นหนังสือที่เอาไดอารี่ของเธอทั้ง 46 เล่มมาสรุปและพิมพ์จำหน่ายในชื่อ 1 Litre of Tears ที่ทำให้ทุกคนประทับใจ และจำหน่ายได้ถึง 1.2 ล้านเล่ม และหลังจากที่ละครเรื่องนี้ฉายเป็นละครแล้ว ยอดจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นถึง 1.8 ล้านเล่ม ตอนสิ้นปี 2548
และไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ยังได้สรุปบันทึกที่ คิโตะ ชิโอกะ แม่ของอายะ เขียนเอาไว้ในเรื่อง "อุปสรรคของชีวิต" รวมอยู่ในไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ด้วย และวันที่ 23 พฤษภาคม 1988 อายะทิ้งความประทับใจเอาไว้ในโลกนี้ และเดินทางสู่สรวงสรรค์ รวมอายุได้ 25 ปี ละครเรื่อง บันทึกน้ำตา 1 ลิตร ( 1 Litre of Tears ) นี้ เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้ โดยในละครเรื่องนี้ ได้แทนนามสกุลจริง คิโตะ เป็นนามสกุล อิเคอูจิ
"ฉันมีชีวิตต่อเพื่ออะไรกันนะ" นี่คือประโยคหนึ่งจาก ไดอารี่ 46 เล่มที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขียนไว้ ตลอดระเวลาที่ต่อสู้กับโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษานี้ คิโต อายะ เกิดปี 1962 เป็นโรคที่ชื่อว่า Spinocerebellar Degeneration ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดในตอนอายุ 14 ปี เป็นโรคที่รักษาได้ยาก อาการของโรคจะทำให้สมองส่วนการรับรู้จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆ เสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่าง ซึ่งไดอารี่ทั้ง 46 เล่มนี้ ก็คือบันทึกการต่อสู้กับโรคตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนถึงตอนที่อายะไม่สามารถควบคุมแขนของตัวเองให้เขียนได้ เสมือนเป็นเสียงตะโกนที่ร้องขอการมีชีวิตอยู่ต่อ จากส่วนลึกของหัวใจเธอ
"โรคนี้ทำไมถึงเลือกฉันนะ" นี่คืออีกประโยคหนึ่งจาก ไดอารี่ 46 เล่มที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็ยังพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับโรคร้ายนั้น ทุกๆ วันที่ถูกรายล้อมไปด้วยความรักทั้งของครอบครัว คนรัก และเพื่อนๆ ที่คอยช่วยเหลือ ร้องไห้และหัวเราะด้วยกัน อยากใช้ชีวิตกันต่อไป เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้
"ร้องไห้เสียน้ำตาไปหนึ่งลิตร" เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ คิโตะ อายะ ได้พูดกับเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลาย ตอนที่จะลาออกจากโรงเรียนไปอยู่ที่โรงเรียนคนพิการ เนื่องจากไม่อยากทำให้เพื่อนทุกคนในห้องต้องลำบากใจ เพราะเพื่อนๆ ในห้องส่วนใหญ่กลัวจะเรียนไม่ทัน จะสอบต่อมหาวิทยาลัยไม่ได้ เพราะอาจารย์ต้องสอนช้าลง เพื่อให้ อายะ สามารถจดตามได้ทัน เนื่องจากเมื่อ อายะ เป็นโรคนี้แล้ว
ช่วงแรกก็ยังพอเดินได้ปกติ แต่หลังจากนั้นก็เดินได้ยากขึ้น จนในที่สุดเวลาจะเดินต้องนั่งรถเข็น และเวลาเขียนก็ไม่สามารถเขียนได้เร็วเท่าคนปกติ โดยที่จริงๆ แล้ว อายะ ไม่อยากจะไปที่โรงเรียนคนพิการ แต่อยากจะอยู่ที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากเพราะตนเอง จึงได้ตัดสินใจลาออก โดยที่เธอได้บอกกับเพื่อนๆ ว่า กว่าเธอจะตัดสินลาออกได้ ต้องนอนร้องไห้เสียน้ำตาไปหนึ่งลิตร
โรค Spinocerebellar Degeneration คือโรคที่ยังไม่สามารถรักษาได้ อาการของโรคจะทำให้สมองส่วนการรับรู้ จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆเสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่าง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้แต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนเมื่อเริ่มเป็นโรคนี้อาการจะค่อยๆ เป็นหนักขึ้นอย่างช้าๆ แต่สำหรับบางคนอาการของโรคทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มทำให้ขาเดินได้ลำบาก จนต่อมาจะเดินไม่ได้
แขนและมือที่เคยจับเขียนได้ ก็จะค่อยๆ จับและเขียนลำบาก จนสุดท้ายก็จะเขียนไม่ได้ การรับประทานอาหารก็จะลำบากขึ้นและจะสำลักบ่อยครั้ง บางคนอาจถึงตายได้เนื่องจากอาหารติดคอ ผู้ป่วยจะต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ เพราะยิ่งอาการหนักขึ้นเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เองมากขึ้นเท่านั้น เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร และยังไม่สามารถรักษาจนถึงปัจจุบัน ทำได้เพียงพยายามชลอให้อาการทรุดหนักช้าลงเท่านั้น
วิดีโอต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ย์ ตอนนี้อายะพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างเดียว ตอนนี้เป็นตอนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้ามาก และก็ได้ข้อคิดอะไรมากมายเลยทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
ทัศนคติในการมองโลกของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไป ข้าพเจ้ามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต เมื่อข้าพเจ้าท้อถอย หมดหวัง ข้าพเจ้าจะนึกถึงอายะ เธอทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปัญหาของข้าพเจ้านั้นมันเล็กน้อยเหลือเกิน ข้าพเจ้ายังเดินได้ ยังพูดได้ ยังมีร่างกายที่เป็นปกติ และยังมีเวลาในชีวิตเหลืออยู่
ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตมากขึ้น เวลาที่เรามี เราไม่รู้ว่าเราจะได้ใช้มันไปอีกนานแค่ไหน เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
สิ่งที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้ คือ คำพูด เวลา และโอกาส
ข้อคิดที่ได้จากการชมซีรี่ย์เรื่องนี้
เอกสารอ้างอิง
http://movie.sanook.com/news/news_14159.php
http://www.youtube.com/watch?v=88iZoZTQBSs&feature=related
ขอขอบคุณ ผู้ที่เข้ามาอ่านบล็อกของข้าพเจ้าทุกท่าน ข้าพเจ้าหวังว่าบล็อกของข้าพเจ้าจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ท่านสามารถแสดงความคิดเห็นกับข้าพเจ้าได้ข้างล่างนี้
เห็นเพื่อนที่เคยดูบอกว่าร้องไห้ตลอดเลย
น่าสนใจมาก ข้อคิดดีด้วย อยากดูจัง
พี่ก็ดูเหมือนกัน แต่ยังดูไม่จบเลย แหะๆ
เพื่อนพี่ดูก็ร้องไห้เหมือนกันครับ
ชอบมากค่ะ
ติดตามทุกตอนและมี DVD เก็บไว้ด้วย
ดูเวลาท้อแล้วมีกำลังใจมากๆ เลยเนอะ.......
เรื่องนี้อีกแล้ว
ดูแล้วซึ้งสุดๆ
ได้ข้อคิดเยอะด้วย
เห็นมีคนบอกว่าเรื่องนี้ให้เราหามาดูอ่ะ เพราะเราเป็นพวกต่อมความรู้สึกอยู่ลึก
ได้อ่านจากที่ปรางเขียนแล้วคิดว่าสอบเสร็จจะต้องหามาดูซะแล้ว
ว่าแต่(มีให้ยืมมั๊ยอ่ะครับ) เป็นหนังที่น่าดูมากอีกเรื่องนึง เผื่อเราดูแล้ว
จะเป็นหนังอีกเรื่องที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราบ้าง.....
ไม่เคยดูอะ แต่ดูจากตัวอย่างแล้วซึ้งมากๆ