เพราะระบบทุนนิยมที่กำหนดให้ผู้คนในสังคมต้องแก่งแย่งกัน
ไม่เว้นแม้แต่นักเรียนที่ต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้อาชีพที่ดี
มีรายได้มาก ทำให้เด็กแย่งกันเรียนหมอ โดยไม่ต้องสนว่าชอบหรือไม่
อยากดูแลผู้คนที่ทุกข์ยาก
และพร้อมที่จะ เสียสละ
อดหลับอดนอนเพื่อความสุขของผู้อื่นหรือไม่
หรือ
เพราะระบบ
การเรียนการสอนที่มุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการที่ทำให้นักเรียนแพทย์
เรียนเพียงแต่การแพทย์
แต่ขาดหัวจิตหัวใจที่จะดูแลผู้คนอย่างมนุษย์ คนหนึ่ง
หรือ
เป็นเพราะระบบการบริการสาธารณสุข ที่งานหนัก เงินน้อย ให้บริการฟรี
แต่ก็ยังมีการร้องเรียนฟ้องร้องกัน ทำให้หมอขาดซึ่งอุดมการณ์
ลาออกไปทำงานเอกชนกัน จนขาดแคลนแพทย์ในชนบท
. . .
หนังสือเรื่องเล่า...นักศึกษาแพทย์เล่มนี้จึงเป็นเจตนารมย์ที่มูลนิธิแพทย์ชนบทต้องการส่งผ่านเรื่องดีๆของนักศึกษาแพทย์
ไปยังเพื่อนๆพี่ๆทั้งในวงการแพทย์และนอกวงการแพทย์
เพื่อจะได้เรียนรู้เรื่องราวแห่งชีวิตของผู้ป่วยในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่ มีความคิด
ความเชื่อ ความสุข ความทุกข์
อุปสรรคและข้อจำกัดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ผมเชื่อว่า
หลังจากได้อ่าน 20 เรื่องนี้จบแล้ว
ไม่เพียงแต่มุมมองต่อผู้ป่วยจะเปลี่ยนไปเท่านั้น งต่อนักศึกษาแพทย์
และวงการแพทย์ก็อแต่มุมมอาจจะเปลี่ยนไปด้วย
มุมมองที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ท่าทีเปลี่ยนไป
ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและแพทย์
มุมมองและท่าทีที่เปลี่ยนไป
ย่อมส่งดีต่อปัญหาทั้งสำหรับแพทย์
และผู้ป่วยได้ไม่มากก็น้อย
ขอส่งกำลังใจให้แก่น้องนักศึกษาแพทย์
ได้มีโอกาสค้นพบเรื่องราวดีๆ....ค้นพบตัวตนที่อยู่ภายในของเรา
ได้ฝึกถ่ายทอดเรื่องราวดีๆที่เราพบเจอ
ผ่านเป็นเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นและตนเอง
แรงบันดาลใจยิ่งให้ยิ่งงอกงาม ยิ่งถ่ายทอดยิ่งเพิ่มพูน
ขอให้น้อง ได้ให้และถ่ายทอดเรื่องดีๆที่ได้เรียนรู้
ไม่ใช่เพียงวิชาแห่งการแพทย์
แต่เป็นวิชาแห่งความเข้าใจความเป็นไปของชีวิต
และไม่ใช่ด้วยหัวใจของความเป็นแพทย์
แต่ด้วยหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์
ตัดมาจาก
บทบรรณาธิการ
โดย
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์
(หมอบีม)
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท
ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่าขึ้นปีสี่แล้วจะเรียนอย่างไร? หนังสือเล่มนี้ช่วยแก้ไขปริศนาและบอกแนวทางต่างๆที่ควรจะเป็นไป ย้ำเตือนให้เราไม่ละทิ้งอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ และสอนให้มีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ . . .
“เรื่องเล่า... นักเรียนแพทย์” เป็นหนังสือรวม 20 เรื่องเล่าที่ได้รับรางวัลและส่งเข้าร่วมโครงการเขียนเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของนิสิตนักศึกษาแพทย์ที่มูลนิธิแพทย์ชนบทจัดขึ้นและรวมเล่มจำหน่ายในราคาไม่แพงเพียง 60 บาทเท่านั้น
โดย เรื่องเล่าที่ได้รับรางวัลดีเด่น มีสองเรื่อง ได้แก่
คนไข้เตียง 8 เป็นหญิงชราอายุประมาณ 80 ปี ใส่ท่อช่วยหายใจต่อกับเครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายขึ้นมาอยู่บอวอร์ดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณยายเป็นอะไรถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบลูกคุณยายอย่างไรถ้าถูกถามว่าอาการของคุณยายเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งๆที่เดินผ่านเตียงคุณยายอยู่ทุกวัน
ชายคนนั้นคุยกับแม่ของเขาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น
“คุณหมอครับตอนนี้คุณแม่ของผมอาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามผมที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“ขอโทษนะครับ หมอไม่ทราบจริงๆเพราะไม่ใช่เจ้าของไข้ แต่เดี๋ยวหมอจะเข้าไปดูบันทึกการรักษามาให้นะครับ”
จากเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า คนไข้ ไม่ใช่ผู้ป่วยที่เราเป็นเจ้าของไข้เพียงอย่างเดียว แต่คำว่า คนไข้ หมายถึง ผู้ป่วยทุกคน เพราะฉะนั้นเราควนใส่ใจพวกเขา ให้กำลังใจและไถ่ถามอยู่เสมอ ให้คนไข้รู้สึกอุ่นใจ
ทั้งหมอทั้งพยาบาลมีใครสักคนไหมที่รู้ว่า ที่ป้ามาไม่ตรงนัด
แล้วบอกพยาบาลว่าป้าลืมนัด ป้าจำวันผิด ยอมให้พยาบาลดุด่าเพียงเพื่อ
ให้มีคำตอบให้เหตุการณ์ขณะนั้นผ่านพ้นไป ทั้งที่จริงป้าต้องทำเป็นลืม
เพราะเกรงใจลูกที่ต้องมาส่ง ต้องหยุดกรีดยาง ขาดรายได้
หรือบางครั้งคนมาส่งเมาเหล้าหลับลืมไม่ได้มาส่ง บางครั้งมีปัญหาสามีภรรยาทุบตีกัน
สุดท้ายคำว่า ลืม คำว่า จำวันผิด ก็เป็นวลีเพียงเพื่อลมปาก
ผ่านหูเท่านั้น . . .
. . . ป้าเล่าให้ฟังว่าเคยน้ำตาร่วงจากเงินติดกระเป๋าต้องหมดไปจากการต้องจ่ายค่ายา เนื่องจากลืมบัตรทอง ป้าจำไม่ลืม
และที่เสียใจมากกว่าการจ่ายยาคือ เสียงต่อว่าจากห้องบัตรดังกล่าวว่า
“ไม่รู้จักเตรียม มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เก็บตางค์เสียมั่งจะได้รู้สึก”
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ยาวหกหน้า แต่ใช้เวลาอ่านไม่นาน เพราะเรื่องราวชวนติดตาม รู้สึกสงสารเห็นใจป้า พยาบาลที่รับบริการนอกจากจะพูดจาไม่เหมาะสม แล้วยังแสดงทีท่าหงุดหงิดใส่ป้าอีกด้วย ชื่อของป้าไม่มีสักคำ เรียกเพียงหมายเลขบัตรคิว สีหน้าแววตาป้าเป็นอย่างไรก็ไม่ได้รับรู้เลย สิ่งที่เค้าสนใจคือจดบันทึกลงในเวชระเบียนเท่านั้น คำถาม คำตำหนิจากคนชุดขาว จากหมอที่ป้ามาไม่ตรงนัด ความดันไม่ลด น้ำตาลไม่ลด ทำตามที่สั่งไม่ให้กินเค็ม ไม่กินมัน ไม่กินหวานทำตามบ้างหรือไม่ สารพัดคำถาม สารพัดคำตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าตั้งแต่เช้ามาป้ายังไม่ได้บอกกล่าวอธิบายเหตุผลใดๆให้ใครฟัง สักคำเลยและดูเหมือนว่าป้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว เพราะพยาบาลและหมอทำตามขั้นตอนที่วางไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว น่าเศร้านัก อ่านไปข้าพเจ้าก็ร้องไห้ไปด้วย ภาษาที่ผู้เล่าใช้นั้นสะท้อนอารมณ์ออกมาได้ดีมากจริงๆ และรู้สึกอินไปกับผู้เล่า
ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า
การเป็นหมอนั้นไม่ใช่แค่เพียงการรักษาเพียงแต่โรคหรือการมีความรู้ที่เก่งเพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการรักษาผู้ป่วยทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม
เพื่อให้ผู้ป่วยมีจิตใจที่มีความสุข ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
ปฏิบัติต่อคนไข้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ มีมโนธรรมในการเป็นแพทย์
มีการติดต่อสื่อสารทั้งสองทาง
รับฟังความคิดเห็นและความทุกข์ลำบากของคนไข้และตอบสนองด้วยการช่วยเหลือ
อย่างเต็มที่
ส่วนเรื่องที่เหลือหากใครสนใจก็สามารถเข้าไปอ่านได้ในเว็บที่อ้างอิงไว้
หลังจากที่ได้อ่านทั้งยี่สิบเรื่องจบแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกน้ำตารื้นๆ และความรู้สึกต่างๆหลากหลายอารมณ์ประเดประดังเข้ามาในความคิด ประทับใจผู้ป่วย ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเรื่องเล่าเหล่านี้และอยากให้เพื่อนๆทุกคนได้อ่าน รู้สึกได้ว่าหัวใจความเป็นมนุษย์นั้นยังคงอยู่และจะเพิ่มพูนมากขึ้น อุดมการณ์ที่มีมาก็ไม่ได้ลบเลือนหายจาก มันยังคงตั้งอยู่ที่เดิมและส่องสว่างนำทางให้ก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง
สิ่งที่ได้รับ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณเรื่องเล่าดีๆจากพี่ๆนักศึกษาแพทย์ ข้าพเจ้าพอจะรู้แล้วว่าชีวิตการเรียนแพทย์นั้นจะไปในทิศทางใด
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
http://kmcenter.rid.go.th/kmc14/book&movie/book_person4.html
จากบทความนี้ข้าพเจ้าอ่านแล้วได้คิดไรเยอะ
มีประโยคที่ข้าพเจ้าชอบอยู่ประโยคนึง
"อย่าทอดทิ้งเขาเพียงเพราะความกลัวของตัวเรา กลัวว่าจะช่วยไม่ได้ เลยไม่ได้ลงมือช่วย "
เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ ^^
ทำไมถึงเรียนหมอ? คนไข้หวังอะไรกับหมอ?
ก็เพราะ
หมอที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์ รักษาได้ทั้ง คน และไข้
หนังสือนั้นอ่ะอยากได้มาอ่านซักเล่ม
เผื่อจะมีอุดมการณ์อะไรกับเขาบ้างงง
ดีนะ...มีหมอที่เก่งๆและดีๆ