การมีครอบครัวที่อบอุ่นเป็นเป้าหมายของการมีชีวิตคู่ของทุกคน อย่างน้อยพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นของการใช้ชีวิต แต่เป็นชีวิตจริงที่ไม่มีใครอยากจะเอาไปล้อเล่น ก่อนปี 2547 เดือน ธ.ค. ซึ่งครอบครัวของเราไม่มีลูกน้อยมาเสริมความเข้มแข็งของครอบครัว ความรู้สึกเหมือนอะไรในชีวิตที่ขาดหายไป
ตอนที่ยังไม่แต่งงาน คิดไม่ออกหรอกค่ะว่าชีวิตแต่งงานจะเป็นอย่างไร บางคนกลัวมากที่จะมีชีวิตคู่ ด้วยกลัวว่าจะมีคนมาคอยบงการชีวิตให้ทำโน่นทำนี่(เหมือนเพื่อนๆที่ชอบแซวดิฉันเสมอว่าบังคับให้สามีทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อยไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง) ณ. ปัจจุบันฉันบอกสามีว่า รู้ไหมว่าที่ครอบครัวเรามีวันนี้ได้เพราะเราช่วยกัน ประคับประคองกัน มีปัญหาช่วยกันแก้ไข พึ่งพาอาศัยกันตลอดเวลาได้
ดิฉันเป็นข้าราชการมีสามีเป็นเกษตรกร ดิฉันไม่เคยสนใจเลยว่าสิ้นเดือนมาจะต้องได้เงินเดือน เพราะไม่เคยมี เงินเดือนของดิฉันเองก็จ่ายไว้ที่ออมทรัพย์สาธารณสุข เพราะเอาเงินมาลงทุน สร้างบ้าน ซื้อรถ หมดหนี้รถ หมดหนี้บ้าน ทำธุรกิจครอบครัวเล็กๆ เกษตรพอเพียงเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว ปลูกผัก 10 ปีผ่านไป ไม่รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน มีเงินเก็บหรือเปล่า รู้แต่ว่าเวลาที่ลูกต้องการใช้เงิน สามีต้องการใช้ครอบครัวเราจะไม่เคยขาดเลย ฉันคิดว่า ทำนามีข้าวกิน ปลูกผักไว้ข้างบ้าน มีการออมเงินไว้ 10-15% ของรายได้ อีก 20 ปีข้างหน้าลูกๆจะได้ไม่เดือดร้อน ชีวิตข้าราชการอย่างเราจะหวังอะไรไปมากมาย ขอเพียงความสุขในครอบครัว ได้สร้างประโยชน์กับสังคมยามที่สังคมต้องการบ้างบางโอกาส
การเป็นคนที่มีคุณค่า คงไม่ขึ้นอยู่กับว่าเรามีบ้านหลังใหญ่ มีเงินใช้มากมาย แต่น่าจะอยู่ที่การเป็นที่ยอมรับ เป็นที่ให้เกียรติของคนในสังคมเดียวกันหรือสังคมที่แตกต่าง..............ทุกคนยอมรับในบทบาทหน้าที่ของเรา
คนที่เรารักไม่ว่าจะขาวหรือดำ จะต่ำจะเตี้ย หรือว่าอ้วนหรือว่าผอมเราก็รัก ความเหมาะสมของคู่รัก คงมองแต่ที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ แล้วก็คงให้คนภายนอกมามองไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ คนสองคนที่รักกันต้องมั่นคงในความรัก และรู้คุณค่าของคำว่ารัก ความหมายมันคงอยู่ตรงนั้นมากกว่า
ไม่มีความเห็น