ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการปล่อยให้เกิดการบ่มเพาะจนขยายเชื้อร้ายสู่สังคมเนื่องจากขาดจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม กิเลสความเห็นแก่ตัวคือสิ่งที่นับวันจะเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในสังคมปัจจุบัน เหมือนสำนวนยอดฮิตที่นำมาเปรียบเทียบในยามที่การแก้ปัญหาถึงทางตัน ในทุกๆเรื่องว่าสนิมเกิดจากเนื้อในตน
จากความกังวลของร.ศ.ดร. โชติช่วง พันธุเวชอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาที่ออกมาพูดถึงปัญหาค่านิยมในการขายบริการทางเพศของนักศึกษาทำให้เรื่องนี้สมควรแก่การนำมาถกกันอีกครั้ง( สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ การศึกษา 2552)
รัฐบาลได้แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวมานานแล้วโดยผ่านทางนโยบายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป้าหมายหลักคือมุ่งสร้างโอกาสทางการศึกษาโดยสนับสนุนค่าเล่าเรียนค่าใช้จ่ายที่เกิ่ยวเนื่องกับการศึกษาและค่าครองชีพแก่นักเรียนนักศึกษาที่จำเป็นในทุกระดับโดยไม่คิดดอกเบี้ยระหว่างศึกษาอยู่คิดร้อยละ1หลังจบการศึกษาแล้ว 2 ปี ผ่อนชำระได้ไม่เกิน 15 ปี(http//www.2 studentloan.orth/slf/html/index.htmi)
เมื่อศึกษาจากเป้าหมายหลักของนโยบายนี้ แล้วน่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องการขาดแคลนเงินทุนในการศึกษา แต่ทั้งๆที่รัฐบาลได้มีกองทุนให้กู้ยืมเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระในเรื่องการขาดทุนทรัพย์ดังกล่าว ที่จะทำให้ต้องหันเหไปขายบริการทางเพศ เหมือนทุกครั้งที่จับได้และมักจะมีคำตอบที่เหตุผลเดียวกันคือการหาเงินเพื่อลงทะเบียนเรียน หรือเกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นประเด็นหลักแล้วเหตุไฉนในเมื่อมีกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่เกิดขึ้นมานานปัญหากลับไม่บรรเทาลงแต่กลับทวีความรุนแรงขึ้นในขณะเดียวกันสังคมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาในเรื่องนี้ทั้งที่พร้อมเสมอที่จะก่อเกิดปัญหาที่ตามมาอีกมากมายที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่และสร้างความรุนแรงมิใช่น้อย
จากเดิมที่มีอยู่เฉพาะในระดับมหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันนี้ได้ระบาดในแทบทุกระดับเนื่องจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงขาดการดูแลเอาใจใส่ การค้าประเวณีจึงระบาดอย่างรวดเร็วเริ่มมีประปรายแม้กระทั่งในเด็กระดับประถมศึกษาย่อมเป็นตัวชี้วัดได้ว่านโยบายกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้เกิดรูรั่วที่ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ
สาเหตุหลักของการขายบริการทางเพศไม่น่าจะมาจากการขาดเงินทุนเหมือนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตน่าจะเกิดจากปัจจัยอื่นๆเช่นความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยทางวัตถุความเสื่อมทรามทางจริยธรรม การขาดความเอาใจใส่จากครอบครัว การคบเพื่อนไม่ดีปัญหายาเสพติด การขาดจิตสำนึกของความเป็นคนดี
ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่บรรดาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายต้องหันมาร่วมมือกัน ตั้งแต่หน่วยงานระดับกระทรวงที่เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรงเช่นกระทรวงวัฒนธรรมที่ต้องรณรงค์อย่างจริงจังไล่ลงมาสู่สถาบันการศึกษาที่ต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาดถึงแม้จะไม่ถึงขั้นการปราบแค่เป็นการปรามก็ยังดีกว่าการอยู่เฉยๆโดยไม่ดำเนินการสิ่งใดเลย และลงมาถึงสถาบันครอบครัวที่ต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้น ตลอดถึงสถาบันศาสนาที่ต้องสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้น และสุดท้ายคือรัฐบาลที่ต้องขยายวงเงินงบประมาณให้มากขึ้นเพื่อการดำเนินการได้ทั่งถึงเพื่อลดความเสี่ยงในการขายตัว
สถาบันการศึกษาคงต้องเปิดหลักสูตรที่ปลูกฝังความเป็นสตรีที่ต้องตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงลดค่านิยมความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยซึ่งดูเหมือนจะไม่มีหลักประกันในความสำเร็จแต่ก็คงต้องร่วมกันรณรงค์ต่อต้านในทุกรูปแบบดีกว่าปล่อยให้ความคิดนี้ ฝังรากลึกและแทรกซึมไปในบรรดานักศึกษาทั้งหลายว่าเป็นสิ่งปกติธรรมดาเป็นสิทธิส่วนบุคคล จะทำให้สังคมยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ช่องว่างระหว่างความดีกับความไม่ดียิ่งห่างออกไปเรื่อยๆจนยากที่จะมาประสานกันได้เมื่อนั้นคงจะได้ยินแค่คำว่าสายไปเสียแล้ว
ไม่มีความเห็น