แม้จะยังไม่เข้าวัยเบญจเพส ทั้งยังมีโรคประจำตัวที่ฟังดูน่ากังวล แต่ตินนิลามิน (Tin Ni Lar Myint) ก็หัวเราะอายๆ เมื่อเล่าว่าเธอมีลูกถึงสองคนแล้ว มะเฮติไท้ซาน ซึ่งเพิ่งครบขวบแรกไปเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคมที่ผ่านมา
และลู
กสาวคนเล็กนี้เองที่ผลักดันให้ตินนิลามินลุกขึ้นมาจดทะเบียนการเกิด เธอได้กลายเป็นกรณีศึกษาในฐานะตัวชี้วัดประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายไทยที่ยืนยันว่า การจดทะเบียนการเกิดให้กับเด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทย มิได้เป็นเพียงหลักกฎหมายบนแผ่นกระดาษ ต้นแบบนี้เริ่มต้นที่อำเภอเมือง จังหวัดระนอง
ตินนิลามิน เกิดที่ร่างกุ้ง พ่อของเธอรับราชการ จนเหตุการณ์ทางการเมืองในปี ๑๙๘๘ พ่อจึงพาครอบครัวล่องเรือมายังเกาะสอง (ใช้เวลา ๒ คืน ๓ วัน) และข้ามมาฝั่งไทย มาเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน ตอนนั้นตินนิลามินอายุ ๑๑ ปี ด้วยเพราะโรคหัวใจ เธอจึงได้รับการสนับสนุนให้เรียนและเรียน ตินนิลามินเรียนเป็นภาษาพม่า โดยข้ามไปเรียนที่เกาะสอง เธอพูดปนหัวเราะว่า “เอาผัว” ตอนเรียนจบม.๖ ได้ ๓ เดือน และย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่กับบ้านสามีที่เกาะสอง ทั้งคู่มีชื่อในทะเบียนราษฎรของพม่า และมีบัตรประจำตัวประชาชนของพม่า
ลูกชายคนโตเป็นโรคหัวใจเหมือนเธอ ระหว่างตั้งท้อง เธอต้องข้ามมาฝั่งระนอง เข้า-ออกโรงพยาบาลจังหวัดระนองบ่อยมาก เธอต้องจ่ายเงินสำหรับการตรวจคลื่นความถี่หัวใจ (ครั้งละ ๖๐๐ บาท/ครั้ง) รับยาบำรุง (ไม่ถึงร้อยบาท/ครั้ง) ค่าทำคลอดลูกคนแรก (๓,๐๐๐ บาท)
แต่สำหรับท้องที่สอง เธอมีอาการซีดและเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ สามีเธอตัดสินใจข้ามมาเป็นแรงงานรายวันที่ฝั่งไทย เพื่อให้เธอใกล้หมอคนไทย พี่ชายเธอตัดสินใจทำงานเป็นลูกเรือประมงออกทะเลถึง ๘ เดือน แลกกับเงิน ๕,๐๐๐ บาทสำหรับค่าใช้จ่ายของน้องสาวและหลานคนที่สอง คราวนี้ค่ายาบำรุงสำหรับท้องที่สองนั้นถูกกว่า (๗๐ บาท/ครั้ง) แต่ค่าทำคลอดขึ้นราคา (๕,๐๐๐ บาท)
หลังคลอดมะเฮตีไท้ซาน-ลูกสาวคนที่สอง สามีตัดสินใจหางานทำที่ฝั่งระนอง โดยไปขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าเพื่อขอรับใบอนุญาตทำงาน ส่วนตินนิลามิน เข้าเมืองโดยถือเอกสารผ่านแดนจากพม่าของพี่สาว (border pass)
มะเฮตีไท้ซาน คลอดที่โรงพยาบาลระนอง โดยมีเอกสารการเกิดจากโรงพยาบาล คือ ท.ร.๑/๑ เอกสารจากโรงพยาบาลฉบับนี้ (ไม่ว่าจะออกโดยสถานพยาบาลรัฐหรือเอกชน) ในระดับหนึ่งมันได้รับการยอมรับโดยราชการไทยในฐานะพยานเอกสารที่แสดงว่าเด็กคนดังกล่าวเกิดในดินแดนของรัฐไทย
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าเด็กจะเกิดในประเทศไทย แต่หากว่าพ่อและแม่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เด็กจะไม่สามารถจดทะเบียนการเกิด (หรือการได้รับการบันทึกชื่อและรายการของเด็กในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของประเทศไทย โดยจะได้รับสูติบัตรเป็นหลักฐาน)
แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ประเทศไทยได้ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางแพ่งและทางการเมือง และอนุสัญญาสิทธิเด็ก ที่กำหนดว่ารัฐภาคีมีพันธกรณีจะต้องจดทะเบียนการเกิดเด็กทุกคนที่เกิดในดินแดนของรัฐภาคี อันส่งผลให้การจดทะเบียนการเกิดให้กับเด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทย (Universal Birth Registration) ถูกระบุไว้ในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๑(มาตรา ๑๘, ๑๙, ๑๙/๑, ๑๙/๒, ๑๙/๓, ๒๐ และ ๒๐/๑)
แม้หมอจะยืนยันว่ามะเฮตีไท้ซาน ไม่เป็นโรคหัวใจเหมือนเธอและลูกชายคนโต แต่หลังจากฟังเรื่องเล่า‘ความรู้’ที่ปากต่อปากในกลุ่มคนพม่าที่เข้ามาเป็นแรงงานในอำเภอเมืองระนอง ที่ว่าหากเด็กที่เกิดในไทยมีสูติบัตรแล้ว จะทำให้มีสิทธิซื้อบัตรหลักประกันสุขภาพ
(ด้วยความเป็นเมืองชายแดน และการมีวิสัยทัศน์ของบุคลากรด้านสาธารณสุข ที่เล็งเห็นว่า การป้องกันโรค คืองานความมั่นคงทางสาธารณสุข อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าการรักษา โรงพยาบาลจังหวัดระนองจึงดำเนินการให้มี “หลักประกันสุขภาพทางเลือก” ให้กับแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนขอรับใบอนุญาต กลุ่มคนไทยถิ่นพลัด รวมถึงคนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยนานมาแล้วและได้รับการสำรวจ-จัดทำและบันทึกทางทะเบียนในฐานข้อมูลราษฎรไทย ในราคา ๑,๙๐๐ บาท/คน/ปี)
เธอตั้งใจแล้วว่า จะเก็บเงินซื้อหลักประกันสุขภาพให้กับมะเฮตีไท้ซาน และเธอเริ่มคิดว่า จะต้องทำอย่างไร มะเฮตีไท้ซานจึงจะมีสูติบัตรได้
หลังจากได้รับคำปรึกษาจากชาติชาย อมรเลิศวัฒนา เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น ในจังหวัดระนอง ที่ยืนยันว่า “กฎหมายใหม่” รับรองสิทธิในการจดทะเบียนการเกิดสำหรับเด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทย รวมถึงมะเฮตีไท้ซาน แต่ก็ยังมีข้อกังวลใจร่วมกัน
เพราะเอกสารผ่านแดนนั้นไม่ได้ต่ออายุวีซ่า ทำให้เธอ ‘หลุด’ จากสถานะอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย หากเธอลุกขึ้นมาดำเนินการให้มะเฮตีไท้ซานมีสูติบัตร อาจทำให้เธอตกอยู่ในความเสี่ยง? เธออาจถูกจับ? แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ..
</span>
ชาติชายได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ให้ตินนิลามินลงชื่อมอบอำนาจให้ชาติชายไปยื่นคำร้องเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร แบบท.ร. ๓๑ ซึ่งหากเทศบาลเมืองระนองปฏิเสธ คราวนี้จะต้องปฏิเสธเป็นลายลักษณ์อักษร และทางตินนิลามินจะต้องอุทธรณ์คำสั่งฯ ดังกล่าว ซึ่งนั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของฐานฟ้องคดีปกครอง
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เทศบาลเมืองระนองมีคำสั่งปฏิเสธคำขอสูติบัตรของตินนิลามิน ความกังวลของตินนิลามินไม่ลดน้อยลง ขณะเดียวกัน คงไม่เกินเลยเกินไปที่จะกล่าวว่า ความเชื่อมั่นในกฎหมายของเธอนั้นดูหนักแน่น จนคนรอบตัวพลอยไม่หวั่นไหวอีกต่อไป วันเดียวกันกับที่ตินนิลามินทราบข่าว เธอตัดสินใจอุทธรณ์คำสั่งของเทศบาลเมืองระนอง
๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ร่วมครึ่งเดือนของการรอฟังผลการอุทธรณ์คำสั่งฯ ความเชื่อมั่นต่อกฎหมายไทยของตินนิลามินถูกเขย่าเบาๆ ..เธอยอมรับว่าเธอกังวล
๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ เทศบาลเมืองระนอง ยอมรับที่จะบังคับใช้กฎหมาย แจ้งกลับมายังตินนิลามินว่ามะเฮตีไท้ซานจะได้รับการออกสูติบัตรให้ (สูติบัติประเภท ๐๓๑ ออกให้เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑)
ตกลงเด็กที่เกิดเมืองไทยจะได้เป็นคนไทยไหม
และประเทศพม่าจะยอมรับเด็กคนนี้กลับไปหรือไม่ เขาจะปฏิเสธได้ไหมว่าไม่ได้เกิดประเทศเขาเขาไม่ยอมรับ แม้คนที่เกิดในแผ่นดินเขาเขายังผลักไสให้ไปที่อื่นได้
ข้อแรก--การเกิดเืมืองไทย อาจไม่ได้ัสัญชาติไทยเสมอไปค่ะ กรณีของมะเฮตีไท้ซาน-กรณีนี้
ข้อสอง--ประเทศพม่าจะยอมรับหรือเปล่า
คนที่เกิดในแผ่นดินเขายังถูกผลักไสเลย--ก็จริงค่ะ